คู่เงิน NZD/USD ซื้อขายในกรอบแคบใกล้ 0.5950 ในเซสชั่นยุโรปของวันศุกร์ คู่เงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่ใจในหมู่ผู้เข้าร่วมตลาด เมื่อนักลงทุนรอข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (NFP) ของสหรัฐอเมริกา (US) ในเดือนกรกฎาคมอยู่ ซึ่งจะเผยแพร่ในเวลา 19:30 น.
รายงาน NFP จะบ่งชี้สถานะปัจจุบันของตลาดแรงงาน ซึ่งจะส่งผลต่อการเก็งกําไรของตลาดเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนกันยายน คาดการณ์ว่านายจ้างในสหรัฐฯ จะจ้างพนักงานใหม่ 175,000 คน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขการจ้างงาน 206,000 คนที่บันทึกไว้ในเดือนมิถุนายน อัตราการว่างงานคาดว่าจะทรงตัวที่ 4.1%
นอกเหนือจากตัวเลขการจ้างงานแล้ว นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่ข้อมูลรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสําคัญในการเติบโตของค่าจ้างที่กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งถือว่ามีอิทธิพลต่อแรงกดดันด้านราคาในที่สุด ดัชนีการเติบโตของค่าจ้างคาดว่าจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 3.7% จากตัวเลขครั้งก่อนหน้านี้ที่ 3.9% ด้วยตัวเลขรายเดือนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 0.3%
ในขณะเดียวกัน ความคาดหวังของตลาดเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้นแข็งแกร่ง เนื่องจากประธานเฟด Jerome Powell ยอมรับว่าผู้กําหนดนโยบายมีความมั่นใจมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่อัตราที่ต้องการที่ 2% จากรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เผยแพร่ในไตรมาสที่สอง ประธาน Jerome Powell กล่าวว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะยังคงเป็นไปได้ในเดือนกันยายน หากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงอย่างสม่ำเสมอตามที่ทางธนาคารกลางคาดการณ์ไว้
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แนวโน้มโดยรวมของดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) ยังคงอ่อนแอ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการลงทุน ท่ามกลางความกลัวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัว นอกจากนี้แนวโน้มทางเศรษฐกิจที่เปราะบางของจีนยังทําให้ความต้องการลงทุนเสี่ยง (risk appetite) ของนักลงทุนลดลง
ในอนาคตข้างหน้า ตัวกระตุ้นหลัก ๆ สําหรับดอลลาร์นิวซีแลนด์จะคือข้อมูลดัชนีการจ้างงานและต้นทุนแรงงานไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะเผยแพร่ในวันอังคารหน้า ข้อมูลการจ้างงานดังกล่าวจะส่งผลต่อความคาดหวังของตลาดสําหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ในปีนี้
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า