คู่ EUR/USD ซื้อขายอ่อนค่าลงมาที่บริเวณระดับ 1.0890 ในช่วงเช้าของการซื้อขายเวลาเอเชียในวันอังคาร อุปสงค์ของดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยาวนานขึ้นกลับมากดดันคู่สกุลเงินหลักดังกล่าว โดยเทรดเดอร์จะจับตาดูยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนและการกล่าวสุนทรพจน์จาก Adriana Kugler สมาชิกธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันอังคาร แล้วในวันพฤหัสบดีการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเป็นความสนใจหลักของตลาด
เทรดเดอร์เริ่มเก็งมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน เนื่องจากเมื่อวันจันทร์ Jerome Powell ประธานเฟดกล่าวว่า ทางธนาคารกลางจะไม่รอจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะแตะเป้าหมาย 2% เพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ย "ความหมายของประโยคนี้ก็คือ หากคุณรอจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 2% คุณอาจรอนานเกินไป เพราะการคุมเข้มทางการเงินที่เราทําอยู่หรือระดับของความตึงเครียดที่เรามี ยังคงมีผลกระทบของมันอยู่ซึ่งอาจกดให้อัตราเงินเฟ้อลดต่ำกว่า 2% ได้" ประธานพาวเวลล์กล่าวต่อ
ในขณะเดียวกัน Mary Daly ประธานธนาคารกลาง (เฟด) แห่งซานฟรานซิสโกระบุว่า อัตราเงินเฟ้อกําลังเย็นตัวลงในลักษณะที่เสริมความเชื่อมั่นที่ว่าอัตราเงินเฟ้อกําลังจะลดลงมาเป็น 2% อย่างไรก็ตามนาง Daly เสริมว่าจําเป็นต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้ การคาดการณ์ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยเฟดมีแนวโน้มที่จะดึงค่าเงินดอลลาร์ให้ต่ำลงและสร้างแรงหนุนให้กับคู่สกุลเงิน EUR/USD
ในทางกลับกัน ECB คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์หลัก อัตราดอกเบี้ยสําหรับวงเงินกู้ชายขอบ และดอกเบี้ยเงินฝากไม่เปลี่ยนแปลงที่ 4.25%, 4.50% และ 3.75% ตามลําดับในการประชุมประจำเดือนกรกฎาคมในวันพฤหัสบดี ทาง ECB ได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ในเดือนมิถุนายนไปหลังจากเก้าเดือนที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เปลี่ยนแปลง นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้ได้แก่ ในเดือนกันยายนและธันวาคม
ยูโรเป็นสกุลเงินสําหรับ 20 ประเทศในสหภาพยุโรปที่อยู่ในยูโรโซน เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2022 คิดเป็น 31% ของธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั้งหมด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน คู่เงิน EUR/USD เป็นคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกโดยคิดเป็นประมาณ 30% จากธุรกรรมทั้งหมด ตามด้วย EUR/JPY (4%), EUR/GBP (3%) และ EUR/AUD (2%)
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เป็นธนาคารกลางของยูโรโซน โดยทาง ECB ทำการกําหนดอัตราดอกเบี้ยและจัดการนโยบายการเงิน หน้าที่หลักของ ECB คือการรักษาเสถียรภาพด้านราคาซึ่งหมายถึงการควบคุมอัตราเงินเฟ้อหรือกระตุ้นการเติบโต เครื่องมือหลักคือการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง – หรือความคาดหวังของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น – มักจะเป็นอานิสงส์ต่อค่าเงินยูโรและในทางกลับกันด้วย สมาชิกสภาปกครองของ ECB ทําการตัดสินใจนโยบายการเงินในการประชุมที่จัดขึ้นแปดครั้งต่อหนึ่งปี การตัดสินใจทําโดยหัวหน้าธนาคารแห่งชาติยูโรโซนและสมาชิกถาวรหกคน ซึ่งรวมถึงประธาน Christine Lagarde ของ ECB เองด้วย
ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนซึ่งวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภคที่สอดคล้องกันภายใน (HICP) เป็นเศรษฐมิติที่สําคัญสําหรับเงินยูโร หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ ECB จะทําให้ ECB ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ โดยมักจะเป็นอานิสงส์ต่อค่าเงินยูโร เนื่องจากทําให้ภูมิภาคนี้น่าดึงดูดยิ่งขึ้นในฐานะสถานที่สําหรับนักลงทุนทั่วโลกในการพักเงินของพวกเขา
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจจะวัดสุขภาพของเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อเงินยูโรได้ ตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น GDP, ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการ การจ้างงาน และการสํารวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ล้วนมีอิทธิพลต่อทิศทางของสกุลเงินยูโร เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ดีสําหรับค่าเงินยูโร ไม่เพียงแต่เป็นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น แต่ยังอาจกระตุ้นให้ ECB ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะทําให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้นโดยตรง โดยกลับกัน หากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ ค่าเงินยูโรก็มีแนวโน้มที่จะลดระดับลง ข้อมูลเศรษฐกิจสําหรับประเทศฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดสี่แห่งในเขตยูโร (ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน) มีความสําคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากคิดเป็น 75% ของปริมาณเศรษฐกิจในยูโรโซน
การเปิดเผยข้อมูลที่สําคัญอีกประการหนึ่งสําหรับเงินยูโรคือดุลการค้า ตัวบ่งชี้นี้วัดความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ประเทศได้รับจากการส่งออกและจำนวนการใช้จ่ายในการนําเข้าในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่กําหนด หากประเทศใดผลิตสินค้าส่งออกที่เป็นที่ต้องการอย่างมากสกุลเงินของประเทศนั้นจะได้รับมูลค่าจากความต้องการเป็นพิเศษที่สร้างขึ้นจากผู้ซื้อต่างชาติที่ต้องการซื้อสินค้าเหล่านี้ ดังนั้นยอดดุลการค้าสุทธิที่เป็นบวกทําให้สกุลเงินแข็งแกร่งขึ้น และในทางกลับกันสําหรับยอดดุลการค้าที่ติดลบก็จะส่งผลให้สกุลเงินอ่อนค่าลง