EUR/GBP ยังคงมีแนวโน้มตลาดเป็นขาขึ้นเป็นวันที่สามติดต่อกัน โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 0.8500 ในช่วงเซสชั่นเอเชียของวันจันทร์ ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ Marine Le Pen ตัวแทนของพรรค National Rally ยืนยันสถานะการเป็นพลังทางการเมืองขั้นนำของฝรั่งเศสในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติรอบแรก ซึ่งนับเป็นผลลัพท์ที่สูงที่สุดในรอบสามทศวรรษ แม้ว่าพรรคของนางเลอ เปน จะได้รับชัยชนะที่ชัดเจนแต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่แน่ชัด 100% แต่ความไม่แน่นอนยังเกิดขึ้นได้ก่อนการลงคะแนนรอบที่สองในวันที่ 7 กรกฎาคม ตามรายงานจากสื่อ France 24
ในขณะเดียวกัน Olli Rehn สมาชิกสภาปกครองของธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ทางธนาคารกลางอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้ จากข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อประจําปีของฝรั่งเศสตรงกับที่คาดการณ์ไว้โดยชะลอตัวลงเหลือ 2.5% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของสเปนลดลงเหลือ 3.5% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย แต่กลับกันอัตราเงินเฟ้อของอิตาลีเร่งตัวขึ้นตามที่คาดไว้ไปเป็น 0.9% นอกจากนี้ ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของเยอรมนีมีกําหนดการเปิดเผยในวันจันทร์นี้
ในฝั่งสหราชอาณาจักร (UK) การเลือกตั้งทั่วไปที่กําลังจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีอาจทําให้เกิดความผันผวนในคู่สกุลเงิน EUR/GBP ซึ่งจากการสํารวจความคิดเห็นล่าสุดคาดการณ์ว่าพรรคแรงงานในฝ่ายค้านจะมีชัยได้เหนือพรรคอนุรักษ์นิยมที่นําโดยนายกรัฐมนตรี Rishi Sunak ของสหราชอาณาจักร
ตัวเลข GDP ของสหราชอาณาจักร (QoQ) ได้รับการแก้ไขให้สูงขึ้น โดยแสดงการขยายตัว 0.7% ในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นจากการเติบโต 0.6% ในรายไตรมาสเมื่อก่อนหน้านี้ นับเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบกว่า 2 ปี และทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นมาเป็น 4.17% ซึ่งช่วยลดความคาดหวังในการต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่เป็นตัวอ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกไหลเข้าประเทศเพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรเพื่อฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ใจปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น