น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 65.65 ดอลลาร์ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันอังคาร ราคาน้ำมัน WTI สูญเสียแรงผลักดันท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันทั่วโลกที่มากเกินไป เทรดเดอร์รอการประกาศรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์จากสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) ในวันอังคารเพื่อหาแรงผลักดันใหม่
รัฐบาลอิรักได้กลับมาเริ่มส่งออกน้ำมันดิบจากภูมิภาคเคอร์ดิสถานอย่างเป็นทางการหลังจากการหยุดชะงักนานกว่า 2 ปี ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความตึงเครียดระหว่างแบกแดดและเออร์บิล และเพิ่มปริมาณการส่งออกของประเทศ เคอร์ดิสถานคาดว่าจะจัดหาน้ำมันดิบให้กับตลาดน้ำมันของอิรักที่ 230,000 บาร์เรลต่อวัน (bpd) เมื่อการส่งออกกลับมาเริ่มต้นขึ้น แนวโน้มการส่งออกน้ำมันดิบที่มากขึ้นจากอิรักอาจเพิ่มอุปทานน้ำมันทั่วโลกและทำให้ราคาน้ำมัน WTI อ่อนตัวลงในระยะสั้น
นอกจากนี้ กำหนดเส้นตายภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อราคา WTI ภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อการนำเข้าจากสหภาพยุโรปคาดว่าจะเริ่มในวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับการค้าในวงกว้างที่เกินกว่าราคาน้ำมัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ฮาวเวิร์ด ลุตนิก แสดงความหวังในการบรรลุข้อตกลงกับกลุ่ม แต่ในระหว่างนี้ ความเสี่ยงจากภาษียังคงจำกัดการปรับตัวขึ้นของน้ำมันดิบ
ในทางกลับกัน มาตรการของสหภาพยุโรป (EU) ที่มีต่อการจัดหาน้ำมันดิบจากรัสเซียอาจช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันดำได้บ้าง สหภาพยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อนุมัติแพ็คเกจการคว่ำบาตรครั้งที่ 18 ต่อรัสเซียจากสงครามในยูเครน ซึ่งยังมุ่งเป้าไปที่ Nayara Energy ของอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่กลั่นจากน้ำมันดิบรัสเซีย มาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ข่มขู่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะคว่ำบาตรผู้ซื้อสินค้าน้ำมันจากรัสเซีย เว้นแต่รัสเซียจะตกลงทำข้อตกลงสันติภาพภายใน 50 วัน
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
<