Investing.com - ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในตลาดเอเชียวันนี้ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐกล่าวถึงความเป็นไปได้ของข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งอาจนำไปสู่การปลดล็อกอุปทานน้ำมันของรัสเซียที่ถูกจำกัดโดยมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
ตลาดยังคงประเมินตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐที่ออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ ซึ่งยิ่งตอกย้ำแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ยังคงสร้างความวิตกในตลาด หลังจากที่เขาประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากการนำเข้าโลหะในสัปดาห์นี้ และขู่ว่าจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ
น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนเมษายนลดลง 0.9% มาอยู่ที่ 74.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญา น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ลดลง 0.9% มาเป็น 70.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 09:35 นใ(GMT+7)
ข้อมูล สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ ของสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมัน
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่าทั้งประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ได้แสดงความต้องการที่จะยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมายาวนาน ในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์กับเขา ทรัมป์กล่าวว่าเขาได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเริ่มต้นกระบวนการเจรจาสันติภาพแล้ว
คำแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ เปิดเผยว่ายูเครนจะไม่ขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ NATO อีกต่อไป และจะไม่พยายามยึดคืนดินแดนทั้งหมดที่ถูกรัสเซียยึดครอง ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่สร้างความขัดแย้งกับมอสโก และเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้รัสเซียเปิดฉากบุกยูเครนในปี 2022
หากสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้ มันก็อาจทำให้สงครามยุติลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดโดยรวม
อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดน้ำมัน ข้อตกลงสันติภาพอาจนำไปสู่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐที่เข้มงวดต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณอุปทานน้ำมันเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นักลงทุนในตลาดน้ำมันจึงตอบสนองต่อแนวโน้มดังกล่าวด้วยการลดราคาน้ำมันลง โดยมีการปรับลดค่าพรีเมี่ยมความเสี่ยงที่เคยสะท้อนอยู่ในราคาน้ำมันจากความไม่แน่นอนของสงคราม
ตลาดน้ำมันยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากข้อมูลเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐที่ออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และลดความต้องการใช้น้ำมันในฐานะที่สหรัฐเป็นประเทศที่บริโภคน้ำมันมากที่สุดในโลก
นอกจากนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ยังได้รับผลกระทบจากการที่ทรัมป์ได้กำหนดภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในสัปดาห์นี้ พร้อมทั้งขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นกับสินค้านำเข้าประเภทอื่น
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายของทรัมป์ในการลดอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานีบริการลดลงตามไปด้วย