ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเผชิญความท้าทายจากการกีดกันทางการค้ารุนแรงและค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในบางอุตสาหกรรมที่ต้องแข่งขันกับสินค้าต่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ภายในยังอ่อนแอ การเตรียมแนวทางลดผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยใช้ประโยชน์จากการแบ่งขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ และเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTA ไทย-EFTA เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันสินค้าไทย
กกร. ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ไว้เท่ากับการประชุมเดือนมกราคมที่ผ่านมา คาดว่า GDP จะเติบโตได้ราว 2.4-2.9% การส่งออกขยายตัว 1.5-2.5% และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.8-1.2% สงครามการค้ารอบใหม่ที่เริ่มขึ้นจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ต่อเม็กซิโก แคนาดา และจีน ได้กดดันการค้าโลก ซึ่งอาจส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 และ 2569
โดยเฉพาะสินค้าจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจไหลกลับมาที่ประเทศคู่ค้ารวมถึงไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง กกร. จึงเสนอแนะการเจรจาระดับรัฐเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบ การสนับสนุนด้านกฎหมายเพื่อช่วยภาคเอกชน และการบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมทั้งควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงานในเขต Free Zone และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ อาจเป็นผลดีต่อการส่งออกสินค้าไทยในระยะสั้น แต่ต้องจับตามาตรการต่อไปจากฝ่ายสหรัฐฯ เนื่องจากการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา