ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) เคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นวันที่สี่ติดต่อกันใกล้ 42.25 ดอลลาร์ในช่วงเวลาการซื้อขายของเอเชียในวันจันทร์ ความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) อ่อนค่าลงและสนับสนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการกำหนดราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นจุดสนใจในวันพุธนี้
อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของเฟดในปัจจุบันอยู่ในช่วง 4.25% ถึง 4.50% ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่จะถึงในวันพุธ ซึ่งจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอาจช่วยลดต้นทุนโอกาสในการถือครองโลหะเงิน ซึ่งสนับสนุนโลหะเงินที่ไม่ให้ผลตอบแทน
“เราคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิสจาก FOMC ในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้ถูกคาดการณ์ไว้มากเกินไปแล้ว” แคโรล คอง นักยุทธศาสตร์ด้านสกุลเงินจากธนาคารคอมมอนเวลธ์แห่งออสเตรเลียกล่าว เทรดเดอร์จะติดตามการแถลงข่าวของ FOMC และสรุปการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ (SEP) หรือ ‘จุดกราฟ’ อย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นแนวทางในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นหรือความตึงเครียดที่ลดลงอาจทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยเช่นโลหะเงินปรับตัวลดลง ผู้แทนจากสหรัฐฯ และจีน ซึ่งนำโดยสก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้า และเจ้าหน้าที่จีนที่นำโดยเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี ได้หารือเกี่ยวกับการค้าและเศรษฐกิจในระหว่างการเจรจาระดับสูงที่มาดริด
เจ้าหน้าที่คาดว่าจะวางรากฐานสำหรับการประชุมที่อาจเกิดขึ้นระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และผู้นำจีน สี จิ้นผิง ในเดือนตุลาคมนี้ เมื่อพวกเขามีกำหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่เกาหลีใต้
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน