ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ปรับตัวสูงขึ้นในวันพฤหัสบดีและแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีใหม่ที่ 42.45 ดอลลาร์ ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐหลังจากข้อมูลการขอรับสวัสดิการว่างงานและ CPI ของสหรัฐฯ เปิดทางให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบสี่ปีที่ผ่านมาในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อรวมกับการปรับลดข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่รายงานก่อนหน้านี้ในสัปดาห์นี้ ทำให้เห็นถึงการเสื่อมถอยของตลาดแรงงานในสหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมโดยรวมตรงตามความคาดหวังของตลาด โดยมีการอ่านที่ 2.9% เมื่อเทียบเป็นรายปีจากการเพิ่มขึ้น 2.7% ที่เห็นในเดือนกรกฎาคม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงที่ที่ 3.1% ต่อปี ตัวเลขเหล่านี้ได้ลดความหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 50 จุดเบสิส แต่ยังคงความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ไว้
จากมุมมองของคลื่นเอลเลียต คู่เงินอาจถึงเป้าหมายของรอบขาขึ้น 5 คลื่นที่บริเวณ 42.50 ดอลลาร์ ระดับนี้เป็นการขยาย Fibonacci 261.8% ของคลื่น 1 (การปรับตัวขึ้นระหว่างวันที่ 20-25 สิงหาคม)
นอกจากนี้ RSI ในกรอบ 4 ชั่วโมงแสดงให้เห็นถึงการเบี่ยงเบนขาลง ซึ่งบ่งชี้ว่าขาขึ้นกำลังสูญเสียแรงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 14% ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม หากผ่านไปได้ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ระดับ 43.00 ดอลลาร์
ในด้านล่าง แนวรับที่ใกล้ที่สุดคือบริเวณแนวต้านก่อนหน้านี้ที่ 41.50 ดอลลาร์ ถัดไป บริเวณระหว่างระดับต่ำในวันที่ 2 และ 4 กันยายนที่ 40.40 และ 40.15 น่าจะเป็นเป้าหมายขาลงถัดไป
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน