TradingKey – ขณะที่ธนาคารกลางรายใหญ่ทั่วโลกยังลังเลกับการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ธนาคารชาติสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) กลับปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องเป็นครั้งที่หก ท่ามกลางแรงกดดันจากภาพทัศน์เศรษฐกิจที่อ่อนแอและฟรังก์สวิสที่แข็งค่าผิดปกติ การตัดสินใจล่าสุดทำให้ยุโรปกลับมามีอัตราดอกเบี้ยศูนย์อีกครั้ง โดยมีความเป็นไปได้ที่จะก้าวสู่ดอกเบี้ยติดลบภายในเดือนกันยายนนี้
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน SNB ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 จุดฐาน สู่ 0% ตรงกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดหมาย โดยอ้างถึงตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดและภาพทัศน์เศรษฐกิจที่เลวร้ายลงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย SNB ที่มา: Trading Economics
ก่อนหน้านี้ข้อมูลเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพฤษภาคมลดลง 0.1% เมื่อเทียบรายปี ถือเป็นการลดครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี 2021
การตัดสินใจดังกล่าวนำสภาพแวดล้อมการเงินในยุโรปกลับสู่ภาวะที่ไม่ปกติก่อนช่วงโควิด เมื่อธนาคารกลางของสวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน และเดนมาร์ก เคยใช้นโยบายดอกเบี้ยนอกระบบ (negative rates)
หลังการประชุม มาร์ติน ชเลเกล ประธาน SNB ระบุว่า ต้นทุนการกู้ยืมในสวิตเซอร์แลนด์กำลังเข้าใกล้ระดับติดลบ และไม่อาจตัดทิ้งการปรับลดอัตราเพิ่มเติมในอนาคต แม้ธนาคารกลางจะไม่ยอมรับนโยบายดังกล่าวโดยง่ายก็ตาม
ตลาดคาดว่า SNB อาจลดอีกราว 25 จุดฐานในเดือนกันยายน นำยุโรปกลับสู่อดีตดอกเบี้ยนอกระบบอีกครั้ง
ชเลเกลยอมรับว่านโยบายดอกเบี้ยนอกระบบมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น สร้างความท้าทายต่อผู้ฝากเงินและกองทุนบำนาญ และส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ
นอกจากความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ฟรังก์สวิสที่แข็งค่าต่อเนื่องยังเป็นปัจจัยสำคัญที่บีบให้ SNB ต้องผ่อนคลายนโยบาย ปี 2025 ฟรังก์แข็งค่าขึ้นกว่า 10% เทียบดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันอัตรา USD/CHF อยู่ที่ 0.81675
USD/CHF ในปี 2025 ที่มา: TradingKey
เนื่องจากน้ำมันถูกตั้งราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ ฟรังก์ที่แข็งค่าจึงลดต้นทุนนำเข้าน้ำมันดิบสำหรับสวิตเซอร์แลนด์ ยิ่งซ้ำเติมแนวโน้มเงินเฟ้อที่อ่อนแรง
SNB ระบุว่าอาจแทรกแซงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหากจำเป็น แม้ในปีที่ผ่านมาไม่ได้ใช้มาตรการขนาดใหญ่
อย่างไรก็ดี การแทรกแซงอาจถูกสหรัฐฯ ตีตราว่าเป็นการแทรกแซงค่าเงิน เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ปัจจุบันสวิตเซอร์แลนด์ยังอยู่ในรายชื่อ “เฝ้าระวังค่าเงิน” ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ