NZD/USD ขยายการปรับตัวขึ้นเป็นวันที่สามติดต่อกัน โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 0.5740 ในช่วงเช้าของตลาดยุโรปวันจันทร์ ปริมาณการซื้อขายในช่วงตลาดอเมริกาเหนืออาจเบาบางเนื่องจากตลาดการเงินหลักของสหรัฐฯ ทั้งหมดจะปิดทำการในวันจันทร์เนื่องในวันหยุดประธานาธิบดี
การปรับตัวขึ้นของคู่ NZD/USD นี้เกิดจากความเชื่อมั่นของตลาดที่ดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่จะเลื่อนการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐ (USD) อ่อนค่าลงเนื่องจากรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ที่น่าผิดหวังได้จุดประกายการเก็งว่าเฟดอาจลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้ แม้จะมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากสำนักสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์แสดงให้เห็นว่ายอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ลดลง 0.9% ในเดือนมกราคม หลังจากการปรับเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนธันวาคม (รายงานก่อนหน้านี้ที่ 0.4%) การลดลงนี้รุนแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะลดลง 0.1%
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามประสิทธิภาพของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันเป็นวันที่สามติดต่อกันเนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลง ขณะที่เขียนบทความนี้ DXY เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 106.70 ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี และ 10 ปี อยู่ที่ 4.26% และ 4.47% ตามลำดับ
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) มีกำหนดประชุมในวันพุธและคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 จุดเบสิสเป็น 3.75% ธนาคารกลางยังมีแนวโน้มที่จะส่งสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ช้าลง โดยตั้งเป้าอัตราดอกเบี้ยที่ 3.0% หรือ 3.25% ภายในสิ้นปีนี้ ขณะเดียวกัน ดัชนีการดำเนินงานภาคบริการของนิวซีแลนด์ (PSI) เพิ่มขึ้นเป็น 50.4 ในเดือนมกราคม จากการปรับเพิ่มขึ้น 48.1 ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นการกลับมาขยายตัวเล็กน้อยในภาคบริการหลังจากหดตัวเป็นเวลา 10 เดือน
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า