NZD/USD อ่อนค่าลงมากกว่า 1% แล้ว เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐ (USD) แข็งค่าขึ้นจากการปรับตัวขาขึ้นเพราะ Trump Trade ที่เกิดจากผลการเลือกตั้งที่ดีสําหรับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คู่เงินนี้ซื้อขายที่บริเวณระดับ 0.5930 ในช่วงเซสชั่นเอเชียในวันพุธ
เนื่องจากการสํารวจ Exit Polls บ่งชี้คะแนนสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นสําหรับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในการเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา (US) ทำให้ความเชื่อมั่นของตลาดเปลี่ยนไปในทางที่ดีต่อดอลลาร์สหรัฐ
ผลการสํารวจ Exit Polls ในช่วงเช้าวันนี้จากวิสคอนซินบ่งชี้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันกำลังเป็นผู้นํา โดยมีคะแนนโหวตอยู่ที่ 56% เทียบกับ 42.5% โดยอิงจาก 7.5% ของคะแนนเสียงที่คาดว่าจะนับในนอร์ทแคโรไลนา การสํารวจดังกล่าวแสดงให้เห็นการแข่งขันที่สูสีระหว่างทรัมป์และกมลา แฮร์ริส โดยมีการนับคะแนนเสียงไปแล้ว 50% โดยในมิชิแกน ด้วยการนับคะแนนเสียง 12% ความเป็นผู้นําของแฮร์ริสลดลงจาก 61% มาเป็น 53%
ติดตามการรายงานสดของเรา: ทรัมป์หรือแฮร์ริส? ใครจะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ และตลาดจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ในวันพุธ สำนักงาน Stats NZ ได้เปิดเผยอัตราการว่างงานสําหรับไตรมาสที่สาม (Q3) ของนิวซีแลนด์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเป็น 4.8% จากระดับ 4.6% ในไตรมาสที่สอง ตัวเลขนี้ต่ำกว่าฉันทามติการคาดการณ์ของตลาดที่ 5.0% ในช่วงเวลาดังกล่าว อัตราการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานลดลง 0.5% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส และ 0.8% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่ 3
นอกจากนี้ ทางธนาคารกลางนิวซีแลนด์ยังได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (OCR) ลง 75 จุดพื้นฐาน (bps) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการผ่อนคลายความเข้มงวดทางการเงินซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคม ตลาดคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีก 50 bps ในการตัดสินใจนโยบายครั้งสุดท้ายของปีนี้ในวันที่ 27 พฤศจิกายน และทําให้ดอกเบี้ย OCR ลดลงเหลือ 4.25%
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า