คู่ NZD/USD เผชิญกับแรงขายที่ใกล้ระดับ 0.5945 ในช่วงช่วงเช้าของเซสชั่นเอเชียในวันพุธ ความเชื่อมั่นตลาดแบบ risk-off และการดีดตัวเล็กน้อยของสกุลเงินดอลลาร์ทําให้คู่สกุลเงินนี้ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม เทรดเดอร์จะจับตาดูรายงานดัชนี PMI ทั่วโลกของ S&P เบื้องต้นของสหรัฐฯ สําหรับเดือนมิถุนายนในวันพุธ เพื่อเป็นแรงผลักดันตลาดใหม่ ๆ
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) ปรับตัวลดลงเนื่องจากความคาดหวังที่มากขึ้นว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่กำลังใกล้เข้ามาโดยธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) หลังจากอัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของนิวซีแลนด์ที่อ่อนตัวลงในไตรมาสที่สอง (Q2) นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนที่ซบเซาและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างไม่มีใครคาดคิดโดยธนาคารประชาชนจีน (PBoC) เมื่อต้นสัปดาห์นี้ กำลังส่งผลให้ NZD ปรับตัวลดลง
ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยโดยเริ่มจากการประชุมของคณะกรรมการ FOMC ของรัฐบาลกลางในเดือนกันยายน 2024 ด้าน Jonathan Pinkle หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ ของ UBS กล่าวว่า "เราคาดว่าจะมีการลดช่วงเป้าหมายลง 25 จุดพื้นฐานในการประชุม FOMC ในเดือนกันยายนและธันวาคม เว้นแต่จะมีการผิดคาดไปในอัตราเงินเฟ้อ" ในปัจจุบันเทรดเดอร์กําลังประเมินราคาในโอกาสเกือบ 96% ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ตามรายงานของ CME FedWatch Tool ซึ่งการเก็งที่เพิ่มขึ้นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยเฟดส่งผลกระทบเชิงลบต่อสกุลเงินดอลลาร์ในวงกว้างและอาจจํากัดการปรับตัวขาลงของคู่เงินนี้
นักลงทุนจะใช้สัญญาณเพิ่มเติมจากดัชนี PMI ของ S&P Global เบื้องต้นของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมเพื่อยืนยันแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ด้านดัชนี PMI ภาคการผลิตคาดว่าจะดีขึ้นมาเป็น 51.7 ในเดือนกรกฎาคมจาก 51.6 ในเดือนมิถุนายน ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคการบริการคาดการณ์ว่าจะลดลงเล็กน้อยมาเป็น 54.4 ในเดือนกรกฎาคมจาก 55.3
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า