คู่ NZD/USD ดึงดูดแรงตลาดผู้ขายรายใหม่ ๆ หลังจากการขยับขึ้นในเซสชั่นเอเชียไปสู่ระดับ 0.6025-0.6030 และกลับตัวเป็นขาลงเป็นวันที่สามติดต่อกันในวันจันทร์ นอกจากนี้ยังเป็นวันที่ห้าของการเคลื่อนไหวเชิงลบจากหกวันล่าสุดที่ผ่านมานี้ และดึงให้ราคาสปอตลดลงมาที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคมในชั่วโมงซื้อขายที่ผ่านมา โดยตอนนี้นักลงทุนตลาดหมีกําลังรอการหลุดไปต่ำกว่าระดับทางจิตวิทยาที่ 0.6000 ก่อนที่จะวางออเดอร์เก็งการอ่อนตัวลงเพิ่มเติม
สกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) ยังคงมีผลลัพท์ที่ต่ำกว่าสกุลเงินอื่น ๆ หลังจากมีการเก็งว่าธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) จะลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ หลังจากเห็นรายงานดัชนี CPI ที่อ่อนค่าลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ยังลดความต้องการสกุลเงินกลุ่ม antipodean รวมถึงดอลลาร์นิวซีแลนด์และส่งผลแรงขายรอบคู่เงิน NZD/USD
ในทางกลับกัน ดอลลาร์สหรัฐ (USD) พบกับอุปทานใหม่ ๆ ในวันแรกของสัปดาห์ใหม่นี้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ทางการเมืองของสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาและการคาดการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในความเป็นจริงเรื่องการถอนตัวออกจากการชิงตําแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Joe Biden ในวันอาทิตย์ทําให้นักลงทุนเพิ่มออเดอร์การซื้อขายบางส่วนที่เดิมพันไว้กับชัยชนะของทรัมป์ นอกจากนี้ ตลาดได้ประเมินราคาไว้แล้วอย่างเต็ม 100% ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายเดือนกันยายน
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดต้นทุนการกู้ยืมลงอีกสองครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งในทางกลับกันสิ่งนี้ทําให้แรงตลาดกระทิงของดอลลาร์สหรัฐ (USD) อยู่ในแนวโน้มขาลง และช่วยจํากัดการวิ่งขาลงของคู่ NZD/USD และหากไม่มีการเปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนตลาดที่เกี่ยวข้องจากสหรัฐฯ บรรยากาศพื้นฐานที่หลากหลายทิศทางทําให้นักลงทุนอาจรอแรงขายที่ตามมา ก่อนที่จะวางเดิมพันขาลงใหม่ ๆ ในคู่สกุลเงินนี้
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า