EUR/USD ยังคงปรับตัวขาขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยซื้อขายอยู่ที่บริเวณระดับ 1.0790 ในช่วงเซสชั่นเอเชียของวันพฤหัสบดี แรงการวิ่งขาขึ้นนี้เป็นผลมาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เนื่องจากการเก็งที่มากขึ้นต่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 ด้านตลาดสหรัฐฯ จะปิดทําการในวันพฤหัสบดีนี้ เนื่องในวันหยุดวันประกาศอิสรภาพ
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งเป็นดัชนีวัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ อีก 6 สกุล เผชิญกับปัจจัยท้าทายท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดลง DXY ซื้อขายอยู่ประมาณ 105.30 ในขณะที่เขียนข่าวนี้ โดยในช่วงการปิดตลาดวันพุธใน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีและ 10 ปีอยู่ที่ 4.70% และ 4.35% ตามลําดับ
ด้านข้อมูลของสหรัฐฯ ดัชนี PMI ภาคการบริการของ ISM ของสหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็วสู่ระดับ 48.8 ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการลดลงที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 ตัวเลขนี้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 52.5 หลังจากตัวเลขที่ 53.8 ในเดือนพฤษภาคม รายงานการจ้างงานจาก ADP แสดงให้เห็นว่าธุรกิจภาคเอกชนของสหรัฐเพิ่มการจ้างงาน 150,000 ตำแหน่งในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ตัวเลขนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 160,000 ตำแหน่ง และต่ำกว่าระดับ 157,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม
ในฝั่งของยูโร เทรดเดอร์คาดการณ์ว่าความผันผวนของ EUR จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ของการเลือกตั้งในฝรั่งเศสรอบที่สองใกล้กำลังเข้ามาในวันที่ 7 กรกฎาคม ซึ่งจากการสํารวจความคิดเห็นของ Harris Interactive ที่จัดทําเพื่อนิตยสาร Challenges นั้น พรรค National Rally หรือ RN คาดว่าจะแพ้ที่นั่งจำนวน 289 ที่นั่งที่จําเป็นในการควบคุมสมัชชาแห่งชาติได้ด้วยจำนวน 577 ที่นั่ง ซึ่งนับเป็นการสํารวจครั้งแรกที่เผยแพร่หลังจากมีการจัดตั้งแนวร่วมข้ามพรรคเพื่อต่อต้านพรรค RN ตามรายงานของรอยเตอร์
ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของฝรั่งเศสและเยอรมันลดลงเหลือประมาณ 71 จุดพื้นฐาน โดยลดลงจากจุดสูงสุดล่าสุดที่ 82 จุดพื้นฐานเมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว การลดเบี้ยประกันความเสี่ยง (risk prenium) สําหรับพันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสนี้ กำลังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นว่าพรรค RN ฝ่ายขวาจัดจะไม่ได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา
ยูโรเป็นสกุลเงินสําหรับ 20 ประเทศในสหภาพยุโรปที่อยู่ในยูโรโซน เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2022 คิดเป็น 31% ของธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั้งหมด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน คู่เงิน EUR/USD เป็นคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกโดยคิดเป็นประมาณ 30% จากธุรกรรมทั้งหมด ตามด้วย EUR/JPY (4%), EUR/GBP (3%) และ EUR/AUD (2%)
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เป็นธนาคารกลางของยูโรโซน โดยทาง ECB ทำการกําหนดอัตราดอกเบี้ยและจัดการนโยบายการเงิน หน้าที่หลักของ ECB คือการรักษาเสถียรภาพด้านราคาซึ่งหมายถึงการควบคุมอัตราเงินเฟ้อหรือกระตุ้นการเติบโต เครื่องมือหลักคือการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง – หรือความคาดหวังของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น – มักจะเป็นอานิสงส์ต่อค่าเงินยูโรและในทางกลับกันด้วย สมาชิกสภาปกครองของ ECB ทําการตัดสินใจนโยบายการเงินในการประชุมที่จัดขึ้นแปดครั้งต่อหนึ่งปี การตัดสินใจทําโดยหัวหน้าธนาคารแห่งชาติยูโรโซนและสมาชิกถาวรหกคน ซึ่งรวมถึงประธาน Christine Lagarde ของ ECB เองด้วย
ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนซึ่งวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภคที่สอดคล้องกันภายใน (HICP) เป็นเศรษฐมิติที่สําคัญสําหรับเงินยูโร หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ ECB จะทําให้ ECB ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ โดยมักจะเป็นอานิสงส์ต่อค่าเงินยูโร เนื่องจากทําให้ภูมิภาคนี้น่าดึงดูดยิ่งขึ้นในฐานะสถานที่สําหรับนักลงทุนทั่วโลกในการพักเงินของพวกเขา
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจจะวัดสุขภาพของเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อเงินยูโรได้ ตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น GDP, ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการ การจ้างงาน และการสํารวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ล้วนมีอิทธิพลต่อทิศทางของสกุลเงินยูโร เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ดีสําหรับค่าเงินยูโร ไม่เพียงแต่เป็นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น แต่ยังอาจกระตุ้นให้ ECB ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะทําให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้นโดยตรง โดยกลับกัน หากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ ค่าเงินยูโรก็มีแนวโน้มที่จะลดระดับลง ข้อมูลเศรษฐกิจสําหรับประเทศฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดสี่แห่งในเขตยูโร (ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน) มีความสําคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากคิดเป็น 75% ของปริมาณเศรษฐกิจในยูโรโซน
การเปิดเผยข้อมูลที่สําคัญอีกประการหนึ่งสําหรับเงินยูโรคือดุลการค้า ตัวบ่งชี้นี้วัดความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ประเทศได้รับจากการส่งออกและจำนวนการใช้จ่ายในการนําเข้าในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่กําหนด หากประเทศใดผลิตสินค้าส่งออกที่เป็นที่ต้องการอย่างมากสกุลเงินของประเทศนั้นจะได้รับมูลค่าจากความต้องการเป็นพิเศษที่สร้างขึ้นจากผู้ซื้อต่างชาติที่ต้องการซื้อสินค้าเหล่านี้ ดังนั้นยอดดุลการค้าสุทธิที่เป็นบวกทําให้สกุลเงินแข็งแกร่งขึ้น และในทางกลับกันสําหรับยอดดุลการค้าที่ติดลบก็จะส่งผลให้สกุลเงินอ่อนค่าลง