TradingKey - เสมือนกับประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ เจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) ยืดหยุ่นท่าทีต่อการปรับนโยบายการเงินเพิ่มเติม แม้ว่าเงื่อนไขสำคัญสำหรับการขึ้นดอกเบี้ย คือเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้าหมาย 2% จะบรรลุแล้ว BOJ กลับยังคงนโยบายผ่อนคลาย โดยอ้างถึงแนวคิดคลุมเครือที่เรียกว่า “เงินเฟ้อพื้นฐาน”
ตัวเลขล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) แกนหลักในโตเกียว (ไม่รวมอาหารสด) เดือนมิถุนายนปรับตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 3.1% เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 3.6% ขณะที่ CPI แกนรอง (ไม่รวมอาหารสดและพลังงาน) ก็อ่อนตัวจาก 3.3% มาอยู่ที่ 3.1% ทั้งสองตัวเลขยังคงสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ของ BOJ
ดัชนี CPI แกนหลักโตเกียว YoY ที่มา: Trading Economics
อย่างไรก็ดี BOJ ให้ความสำคัญกับ “เงินเฟ้อพื้นฐาน” ซึ่งหมายถึงอัตราเงินเฟ้อที่ขับเคลื่อนโดยอุปสงค์ภายในประเทศและการเติบโตของค่าจ้าง มากกว่าจะเป็นราคาสินค้าที่ผันผวนอย่างอาหารและพลังงาน แต่อย่างไรก็ดี BOJ ยังไม่ได้กำหนดนิยามตัวชี้วัดนี้ให้ชัดเจน เพียงแค่ระบุว่าเงินเฟ้อพื้นฐานยังต่ำกว่าเป้าหมาย 2%
อดีตเจ้าหน้าที่ BOJ โนบุยาสึ อาตาโกะ กล่าวว่า วิธีการของธนาคารกลางครั้งนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน และยังขาดประวัติที่ยืนยันว่าช่วยยึดโยงความคาดหวังเงินเฟ้อได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ BOJ ต้องใช้ศัพท์คลุมเครือเช่นนี้
เขาเสริมว่า ความคลุมเครือดังกล่าวทำให้การสื่อสารกับตลาดยากขึ้น และนักลงทุนไม่อาจเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของ BOJ ได้
แนวทางคลุมเครือนี้มีความคล้ายคลึงกับวิธีที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ พาวเวลล์ รับมือในการให้การต่อรัฐสภาช่วงหลัง แม้จะเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนของผลกระทบจากภาษีศุลกากรและความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้น แต่เขาก็ยังบอกเป็นนัยว่าเงินเฟ้ออาจไม่ยืดเยื้ออย่างที่กังวล เปิดช่องให้การลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด
นักวิเคราะห์ระบุว่า ความกังวลต่อการบริโภคภายในประเทศและภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ ยิ่งทำให้ BOJ จัดการความคาดหวังเงินเฟ้อได้ยากขึ้น ปัญหาที่ญี่ปุ่นเผชิญมานานท่ามกลางแรงกดดันของภาวะเงินฝืด
ผู้ว่าการ BOJ คาซึโอะ อุเอะดะ ยอมรับว่าการปรับความคาดหวังเงินเฟ้อและการวัดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอย่างแม่นยำนั้นเป็นเรื่องท้าทาย BOJ ประสบความสำเร็จในการขยับเงินเฟ้อออกจากศูนย์ แต่ยังไม่สามารถยึดโยงที่ 2% ได้อย่างยั่งยืน จึงยังคงนโยบายผ่อนคลายต่อไป
ตามรายงานของรอยเตอร์ แม้ยังไม่มีตัวชี้วัดเดียวที่จะวัดเงินเฟ้อพื้นฐาน BOJ อาจใช้อินดิเคเตอร์ปรับใหม่ เช่น การวัดเงินเฟ้อแบบค่ามัธยฐานถ่วงน้ำหนัก (weighted median) และค่าโหมด (mode) ซึ่งยังคงต่ำกว่า 2%
นอกจากนี้ ความคาดหวังเงินเฟ้อระยะกลาง-ยาว ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่าง 1.5-2% ก็อาจถูกนำมาอ้างอิงโดยผู้กำหนดนโยบายของ BOJ ด้วย
แท้จริงแล้ว ภายใน BOJ มีความเห็นไม่ตรงกันอย่างมากเกี่ยวกับการตีความแนวโน้มเงินเฟ้อ บางกรรมการเห็นว่า สำหรับครัวเรือนทั่วไป การที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและของใช้ประจำวันปรับตัวสูงขึ้นนั้นเกี่ยวข้องและสำคัญกว่าคำจำกัดความเชิงนามธรรมอย่าง “เงินเฟ้อพื้นฐาน”
ตัวอย่างเช่น ราคาข้าวในญี่ปุ่นพุ่งขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบรายปีในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ในเดือนมิถุนายน ราคาข้าวในโตเกียวปรับขึ้น 89% ราคาช็อกโกแลตทะยาน 48% และราคากาแฟทั้งเม็ดเพิ่มขึ้น 50%
กรรมการ BOJ บางท่านระบุว่า หากประเมินจากหลายมาตรวัด อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็กำลังเข้าใกล้ระดับ 2% อย่างมากแล้ว
ท่าทีหลักของ BOJ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง: ตราบใดที่เงินเฟ้อยังทรงตัวเหนือ 2% ธนาคารกลางก็จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า BOJ จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 25 จุดพื้นฐานตั้งแต่ต้นปี 2026 เป็นต้นไป และนับตั้งแต่เริ่มรัดนโยบายเข้มงวดในปี 2024 ธนาคารฯ ก็ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วสามครั้ง ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5%