ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) กำลังซื้อขายลดลงในช่วงเซสชันยุโรปของวันอังคาร โดยถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ขณะที่บรรยากาศการลงทุนที่ระมัดระวังในวันจันทร์ดูเหมือนจะผ่อนคลายลง
โลหะมีค่าทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบหกเดือนเมื่อวันจันทร์ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่กลับมาและข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ไม่ดี ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐยืนยันผลกระทบเชิงลบของภาษีต่อกิจกรรมในโรงงานและทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตกลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน
จากมุมมองที่กว้างขึ้น การเคลื่อนไหวของราคาอยู่ในแนวโน้มที่เป็นบวก การกลับตัวจากระดับ $34.75 ถูกจำกัดที่ระดับ $34.00 ซึ่งเป็นระดับตัวเลขกลมๆ ที่อยู่เหนือแนวต้านก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนี้เป็นพื้นที่แนวรับที่มีศักยภาพที่ $33.70
ในด้านบวก พื้นที่ระหว่าง $34.75 ถึง $35.00 มีระดับแนวต้านหลายระดับ (จุดสูงสุดวันที่ 23 ตุลาคมและ 4 มิถุนายน) และการขยาย Fibonacci 161.8% ของ Mid อาจทำให้เกิดการวิ่งขึ้น และอาจเป็นอุปสรรคที่ยากจะทำลาย
เหนือระดับนี้ จุดสูงสุดในปลายปี 2012 อยู่ที่ $35.40 การปรับตัว Fibonacci 2611.8% อยู่ที่ $37.00
ในด้านลบ แนวรับทันทีอยู่ที่ระดับ $33.70 ที่กล่าวถึง และจากนั้นที่โซน $32.65-$32.75
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน