ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ $33.10 ต่อออนซ์ในช่วงเช้าของวันอังคาร ราคาของโลหะมีค่า รวมถึงโลหะเงิน ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากการคุกคามภาษีใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศแผนที่จะสั่งการให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และกระทรวงพาณิชย์เริ่มเรียกเก็บภาษี 100% สำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศ เมื่อวันจันทร์ เขายังกล่าวว่าเขามีความตั้งใจที่จะนำเสนอภาษีเกี่ยวกับยาในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
แนวโน้มการปรับตัวขึ้นของโลหะเงินที่มีการซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์อาจถูกจำกัด เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐ (USD) ที่แข็งค่าขึ้นอาจทำให้โลหะมีค่าถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินต่างประเทศ ดอลลาร์สหรัฐกำลังแข็งค่าขึ้นก่อนการประกาศนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพุธ
ในขณะที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ตลาดกำลังจับตามองความคิดเห็นของประธานเจอโรม พาวเวลล์ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีและแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ในด้านการค้า รัฐมนตรีคลังสก็อต เบสเซนต์กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า สหรัฐฯ "ใกล้จะบรรลุข้อตกลงบางอย่าง" ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นของทรัมป์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่บ่งชี้ถึงความก้าวหน้าในการเจรจาการค้า อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ปฏิเสธการประชุมกับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิงในสัปดาห์นี้ กระทรวงพาณิชย์ของจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่ากำลังพิจารณาข้อเสนอของสหรัฐฯ เพื่อกลับมาพูดคุย
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน