ราคาน้ำมัน West Texas Intermediate (WTI) ขยายการปรับตัวขึ้นเป็นวันที่สอง ติดต่อกัน โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 63.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเวลาทำการในเอเชียในวันพุธ การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันเกิดขึ้นท่ามกลางการคว่ำบาตรใหม่ของสหรัฐฯ ต่ออิหร่านและสัญญาณการลดลงของอุปทาน
เมื่อวันอังคาร สหรัฐฯ ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่ Seyed Asadoollah Emamjomeh ผู้เล่นหลักในธุรกิจการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และน้ำมันดิบของอิหร่าน พร้อมกับเครือข่ายบริษัทของเขา ตามข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กลุ่มของ Emamjomeh ได้ช่วยส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันของอิหร่านมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ไปยังตลาดต่างประเทศ ตามรายงานของ Reuters
นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ยังแสดงการลดลงอย่างรวดเร็ว สถาบันน้ำมันแห่งอเมริกา (API) รายงานการลดลงประมาณ 4.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามแหล่งข่าวในตลาด ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากสำนักงานข้อมูลพลังงาน (EIA) จะประกาศในวันพุธ โดยนักวิเคราะห์ของ Reuters คาดการณ์ว่าการลดลงเฉลี่ยจะอยู่ที่ 800,000 บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบยังได้รับการสนับสนุนจากอารมณ์ตลาดที่ดีขึ้น เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Scott Bessent กล่าวว่าการหยุดชะงักของภาษีในปัจจุบันนั้น "ไม่ยั่งยืน" โดยบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการลดความตึงเครียดทางการค้า ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยืนยันต่อตลาดว่าเขาไม่มีแผนที่จะปลดประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้แสดงท่าทีที่มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยระบุว่ามีความก้าวหน้าในหารพูดคุย ขณะที่เขาได้ปฏิเสธการปรับขึ้นภาษีอย่างรุนแรง โดยระบุว่าจะไม่ถึง 145% แต่ยืนยันว่าภาษีจะไม่ถูกยกเลิกทั้งหมดเช่นกัน ทำเนียบขาวระบุว่ามีความพยายามในการเจรจาข้อตกลงการค้าที่มุ่งลดภาษีที่กว้างขวางซึ่งได้มีการนำเสนอในต้นเดือนนี้
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย