TradingKey – หลังการเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษนับตั้งแต่ปี 2001 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ความตึงเครียดในตลาดพันธบัตรดูเหมือนจะผ่อนคลายลงบ้าง สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้โต้แย้งข้อกล่าวอ้างเกี่ยวกับการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ของต่างชาติ และความเสี่ยงที่สถานะเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศจะเสื่อมลง โดยยืนยันว่ากระทรวงการคลังยังมีเครื่องมือทางนโยบายมากพอที่จะสนับสนุนการซื้อคืนพันธบัตร
เมื่อวันจันทร์ที่ 14 เมษายน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี (2-year Treasury yield) ลดลง 12 เบสิสพอยต์ มาอยู่ที่ 3.851% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (10-year Treasury yield) ลดลง 11.2 เบสิสพอยต์ มาอยู่ที่ 4.383%
การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้งระยะสั้นและระยะยาวปรับตัวลดลงพร้อมกันเป็นสัญญาณว่า ราคาพันธบัตรโดยรวมปรับตัวฟื้นตัวขึ้น หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีพุ่งขึ้นถึง 50 เบสิสพอยต์ จนถูก Wall Street เรียกกันว่าเกิด “วิกฤตพันธบัตร” (Treasury Crisis)
เบสเซนท์กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า เขาไม่เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติกำลังขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างรุนแรง เพราะความต้องการซื้อจากต่างชาติกลับเพิ่มขึ้นในช่วงประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปีและ 30 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
คำกล่าวของเบสเซนท์สอดคล้องกับมุมมองของ Citigroup ที่ระบุว่าการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยทางการต่างชาติ (Foreign official holdings) เพิ่มขึ้นถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงระหว่างวันที่ 2 – 9 เมษายน สะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติไม่ได้ถอนตัวออกจากพันธบัตรสหรัฐฯ ในวงกว้าง ซิตี้ยังชี้ว่าความปั่นป่วนในตลาดพันธบัตรช่วงหลังเป็นผลมาจาก “การหยุดซื้อ” (buyer strike) เนื่องจากความกังวลต่อความต้องการพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อาจลดลง
เบสเซนท์ย้ำอีกครั้งว่าราคาพันธบัตรที่ร่วงลงเป็นผลจากการลดเลเวอเรจของกองทุนต่าง ๆ
สำหรับข้อเรียกร้องของตลาดที่อยากให้กระทรวงการคลังและธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อพยุงตลาดพันธบัตร เบสเซนท์เห็นว่ายังอีกไกลกว่าจะถึงจุดที่จำเป็นต้องใช้มาตรการดังกล่าว แต่เขาได้ส่งสัญญาณว่าหากจำเป็น กระทรวงการคลังก็มี “คลังเครื่องมือ” ที่ใหญ่พอจะดำเนินมาตรการต่าง ๆ ได้ รวมถึงการเพิ่มวงเงินสำหรับการซื้อคืนพันธบัตร
บรรดาบริษัทหลักทรัพย์ใน Wall Street หลายแห่งให้เหตุผลว่า การเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นผลจากวิกฤตความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เบสเซนท์ยืนยันว่าเงินดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ และสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้านโยบาย “ดอลลาร์แข็งค่า” ต่อไป
ในอีกด้านหนึ่ง การคาดการณ์เงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นเพราะมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ (Christopher Waller) หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันจันทร์ โดยระบุว่า อิทธิพลด้านเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าของทรัมป์อาจเป็นเพียงชั่วคราว และเฟดก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
วอลเลอร์กล่าวว่า หากเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว เขาก็สามารถมองข้ามได้ และผู้กำหนดนโยบายจะตัดสินใจโดยพิจารณาจากแนวโน้มหลัก (underlying trends) เป็นสำคัญ หากการชะลอตัวของเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นหรือถึงขั้นถดถอย เขาคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นและในอัตราที่มากกว่าเดิม