Investing.com - ดัชนีฟิวเจอร์สของตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นในช่วงเย็นวันอาทิตย์ โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อเก็งกำไร หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหม่สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นยังถูกจำกัดจากความระมัดระวังก่อนการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญในสัปดาห์นี้
ในช่วงแรก หุ้นฟิวเจอร์สซื้อขายในแดนลบจากจำแถลงเรื่องภาษีของทรัมป์ แต่ต่อมาก็ได้ลดการขาดทุนลงอย่างมาก เนื่องจากมีความหวังว่าทรัมป์อาจใช้ภาษีเป็นเพียงเครื่องมือในการเจรจา
วอลล์สตรีทยังได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อเก็งกำไร หลังจากที่ตลาดร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากทรัมป์ส่งสัญญาณถึงแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐให้สอดคล้องกับภาษีที่คู่ค้าของสหรัฐเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของอเมริกา โดยทรัมป์ได้ย้ำแผนดังกล่าวอีกครั้งในวันอาทิตย์
S&P 500 ฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้น 0.3% มาเป็น 6,064.25 จุด ขณะที่ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้น 0.4% มาเป็น 21,668.25 จุด ณ เวลา 07:34 น.(GMT+7) ด้าน ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ขยับขึ้น 0.1% มาเป็น 44,481.0 จุด
ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 25%
เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะประกาศเรียกเก็บภาษี 25% สำหรับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมดสู่สหรัฐในวันนี้ ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ภาษี 10% ต่อจีนมีผลบังคับใช้
มาตรการดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มเติมจากภาษีที่มีอยู่เดิมสำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งทรัมป์ได้กำหนดไว้ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก และรัฐบาลไบเดนยังคงรักษาไว้ แม้ว่าจะปรับลดขนาดลงบ้าง
มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าจากแคนาดา บราซิล และเม็กซิโกมากที่สุด เนื่องจากทั้งสามประเทศเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐ
แคนาดายังเป็นผู้ส่งออกอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคาดหวังว่าทรัมป์อาจมีความผ่อนปรนต่อเม็กซิโกและแคนาดา เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาได้เลื่อนแผนการเก็บภาษี 25% สำหรับทั้งสองประเทศออกไป เนื่องจากบทบาทสำคัญของพวกเขาในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐ
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยให้โควต้าการยกเว้นภาษีแก่พันธมิตรของสหรัฐหลายประเทศ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังย้ำแผนการเรียกเก็บภาษีตอบโต้กับพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ของสหรัฐ เพื่อลดผลกระทบจากสิ่งที่เขาเคยกล่าวว่าเป็นแนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณที่จะดำเนินแผนดังกล่าวตั้งแต่วันศุกร์ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงลงอย่างหนัก
ดัชนี S&P 500 ลดลงเกือบ 1% มาเป็น 6,025.99 จุด ขณะที่ดัชนี NASDAQ คอมโพสิต ลดลง 1.4% เป็น 19,523.40 จุด ส่วน ดาวโจนส์ ลดลง 1% มาเป็น 44,303.40 จุด
จับตาตัวเลขเงินเฟ้อและรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้
นักวิเคราะห์และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐได้เตือนว่าภาษีของทรัมป์ ซึ่งต้องจ่ายโดยผู้นำเข้าสหรัฐ อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ดังนั้น ในสัปดาห์นี้ ความสนใจจึงอยู่ที่ตัวเลขดัช CPI ของสหรัฐประจำเดือนมกราคม ซึ่งมีกำหนดการณ์เปิดเผยในวันพุธ โดยตัวเลขคาดว่าจะแสดงให้เห็นถึงเงินเฟ้อของสหรัฐที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง
เงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องจะลดโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เฟดเน้นย้ำอยู่ตลอดในเดือนมกราคมเมื่อตอนที่ธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม
นอกจากข้อมูลเงินเฟ้อแล้ว ในสัปดาห์นี้ก็ยังมีรายงานผลประกอบการจากบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งในวอลล์สตรีทที่กำลังจะเปิดเผยตัวเลข เช่น
McDonald's Corporation (NYSE:MCD) Vertex Pharmaceuticals Inc (NASDAQ:VRTX) Coca-Cola Co (NYSE:KO) และ S&P Global Inc (NYSE:SPGI) ซึ่งมีกำหนดการณ์รายงานผลประกอบการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า