ฟิวเจอร์สดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.15% เพื่อซื้อขายเหนือระดับ 45,500 ในช่วงเวลายุโรปในวันจันทร์ ก่อนที่ตลาดสหรัฐฯ จะเปิดทำการ ในขณะเดียวกัน ฟิวเจอร์ส S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.18% ใกล้ระดับ 6,500 ขณะที่ฟิวเจอร์ส Nasdaq 100 ปรับตัวขึ้น 0.31% สู่ระดับประมาณ 23,750
ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากความน่าจะเป็นที่เพิ่มขึ้นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนกันยายน หลังจากข้อมูลตลาดแรงงานที่น่าผิดหวังในเดือนสิงหาคม เครื่องมือ CME FedWatch แสดงให้เห็นว่ามีการคาดการณ์ 90% สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิส (bps) โดยเฟดในการประชุมกำหนดนโยบายในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นจาก 86% ในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีการเดิมพันที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการปรับลด 50 bps ในเดือนนี้
สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) ได้เผยแพร่ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการสร้างงานใหม่ 22,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ต่ำกว่าความคาดหวังของตลาดที่ 75,000 ตำแหน่ง ตัวเลขนี้ตามมาจากการเพิ่มขึ้น 79,000 ตำแหน่ง (ปรับปรุงจาก 73,000) ที่บันทึกไว้ในเดือนกรกฎาคม ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ในเดือนสิงหาคม ตามที่คาดไว้ เทียบกับ 4.2% ก่อนหน้านี้
ในช่วงการซื้อขายปกติของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ หุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดลดลง เนื่องจากข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอลงสร้างความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในสหรัฐฯ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.48% ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 0.32% และ Nasdaq 100 ลดลง 0.03%
เทรดเดอร์น่าจะสังเกตข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่จะออกมาในเดือนสิงหาคม รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่จะประกาศในวันพุธและวันพฤหัสบดีตามลำดับ รายงานเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อแนวทางระยะสั้นสำหรับอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ดาวโจนส์ (DJIA) คือมาตรวัดคาเฉลี่ยของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดาวโจนส์รวบรวมจากหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุด 30 อันดับในสหรัฐฯ และจะถ่วงน้ำหนักด้วยการเคลื่อนไหวของราคามากกว่าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด คำนวณโดยการรวมราคาของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแล้วหารด้วยตัวคูณซึ่งปัจจุบันคือ 0.152 ดัชนีนี้ก่อตั้งโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ผู้ก่อตั้ง วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ในช่วงหลายปีต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดาวโจนส์ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในวงกว้างเพียงพอ เนื่องจากอ้างอิงการเคลื่อนของกลุ่มบริษัทเพียง 30 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่มีจำนวนมากกว่าอย่างเช่น S&P 500
ปัจจัยที่แตกต่างกันมากมายผลักดันการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท, รายละเอียดที่เปิดเผยในรายงานผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสถือเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพหลัก ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังมีส่วนช่วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระดับของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีอิทธิพลต่อ DJIA เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนสินเชื่อ ซึ่งหลายๆ บริษัทต้องพึ่งพาอย่างมาก ดังนั้น อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทฤษฎีดาวเป็นวิธีการในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นที่พัฒนาโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ขั้นตอนสำคัญคือการเปรียบเทียบทิศทางของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และ ค่าเฉลี่ยการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) และติดตามเฉพาะแนวโน้มที่ทั้งคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ,uปริมาณเป็นเกณฑ์ยืนยัน ทฤษฎีนี้ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์จุดสูงสุดและต่ำสุด ทฤษฎีของดาวโจนส์ (Dow) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม เมื่อนักลงทุนเริ่มซื้อขายปลกเปลี่ยน ระยะการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อประชาชนในวงกว้างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน และระยะกระจายตัวเมื่อเงินเงินของนักลงทุนออกจากตลาดไป
มีหลายวิธีในการลงทุนกับ DJIA หนึ่งคือการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนซื้อขาย DJIA เป็นหลักทรัพย์เดียว แทนที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 30 แห่ง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กองทุน SPDR , ETF ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DIA) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ DJIA ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรมูลค่าในอนาคตของดัชนีแลออปชัน แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายดัชนีในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของหุ้น DJIA ซึ่งทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในดัชนี