ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ยังคงมีเสถียรภาพหลังจากที่บันทึกการเพิ่มขึ้นในสามเซสชันติดต่อกันที่ผ่านมา โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ $37.80 ต่อออนซ์ทองคำในช่วงเช้าของวันพุธในเอเชีย การวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟรายวันแสดงให้เห็นว่าราคาของโลหะมีค่าเคลื่อนตัวขึ้นภายในรูปแบบกรอบราคาขาขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่มีอยู่ต่อเนื่อง
RSI 14 วันอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งทำให้แนวโน้มขาขึ้นแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาโลหะเงินกำลังซื้อขายต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 9 วัน (EMA) ซึ่งบ่งชี้ว่าโมเมนตัมราคาระยะสั้นอ่อนแอกว่า
ในด้านบวก คู่ XAG/USD อาจสำรวจพื้นที่รอบๆ $39.53 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2011 ที่ทำได้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม การทะลุผ่านระดับนี้ได้อย่างสำเร็จอาจสนับสนุนราคาโลหะเงินให้มุ่งเป้าไปที่ขอบด้านบนของกรอบราคาขาขึ้นที่ประมาณ $40.60
ราคาโลหะเงินอาจทดสอบแนวรับทันทีที่เส้น EMA 9 วันที่ $37.69 ตามด้วยเส้น EMA 50 วันที่ $36.71 ซึ่งสอดคล้องกับขอบล่างของกรอบราคาขาขึ้นที่ $36.50 การหลุดต่ำกว่าพื้นที่แนวรับที่สำคัญนี้จะทำให้โมเมนตัมราคาระยะสั้นและระยะกลางอ่อนแอลง และกดดันคู่ XAG/USD ให้ทดสอบระดับต่ำสุดในรอบ 9 สัปดาห์ที่ $35.28 ซึ่งบันทึกไว้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน การลดลงเพิ่มเติมจะทำให้เกิดแนวโน้มขาลงและผลักดันราคาโลหะเงินไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนที่ $31.65
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน