ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ปรับตัวลดลงหลังจากที่บันทึกเกือบ 1% ในวันก่อนหน้า โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 36.40 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีในยุโรป การวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟรายวันแสดงให้เห็นว่าราคาโลหะมีค่าอยู่ภายในรูปแบบกรอบราคาขาขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ต่อเนื่อง
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ 14 วัน (RSI) ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่มีอยู่ นอกจากนี้ ราคาโลหะเงินยังอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 9 วัน (EMA) ซึ่งเน้นให้เห็นว่าโมเมนตัมระยะสั้นกำลังแข็งแกร่งขึ้น
คู่ XAG/USD อาจมุ่งเป้าไปที่แนวต้านทันทีที่ขอบด้านบนของกรอบราคาขาขึ้นที่ระดับจิตวิทยาที่ประมาณ 37.00 ดอลลาร์ ตามด้วย 37.32 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2012 การทะลุผ่านโซนแนวต้านที่สำคัญนี้อาจเสริมสร้างแนวโน้มขาขึ้นและเปิดโอกาสให้ราคาโลหะเงินสำรวจพื้นที่รอบระดับสำคัญที่ 38.00 ดอลลาร์
ในด้านลบ ราคาโลหะเงินอาจทดสอบแนวรับทันทีที่เส้น EMA 9 วันที่ 36.22 ดอลลาร์ การหลุดต่ำกว่าระดับนี้อาจทำให้โมเมนตัมราคาระยะสั้นอ่อนตัวลงและกดดันให้คู่เงินเคลื่อนตัวไปยังพื้นที่รอบขอบด้านล่างของกรอบราคาขาขึ้นที่ระดับ 35.00 ดอลลาร์ ตามด้วยเส้น EMA 50 วันที่ 34.52 ดอลลาร์ การลดลงเพิ่มเติมจะทำให้โมเมนตัมราคาระยะกลางอ่อนตัวลงและทำให้ราคาโลหะเงินเคลื่อนตัวไปยังพื้นที่รอบระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนที่ 31.65 ดอลลาร์ ซึ่งบันทึกไว้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน