ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันอังคาร คู่ NZDUSD ปรับตัวลดลงมาที่ประมาณ 0.5670 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ได้รับแรงหนุนจากการขู่เก็บภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ในวันอังคารต่อมา จะมีการเปิดเผยข้อมูลยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board และดัชนีการผลิตของ Richmond Fed
ในช่วงปลายวันจันทร์ ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะเก็บภาษีนำเข้าชิปคอมพิวเตอร์ ยา เหล็ก อลูมิเนียม และทองแดง วัตถุประสงค์คือเพื่อนำการผลิตกลับมาสู่สหรัฐฯ ส่งเสริมการผลิตในประเทศ นอกจากนี้ สก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของทรัมป์กล่าวว่าเขาต้องการผลักดันภาษีสากลใหม่สำหรับการนำเข้าของสหรัฐฯ ให้เริ่มต้นที่ 2.5% ภาษีอาจถูกผลักดันขึ้นไปสูงถึง 20% ตามจุดยืนสูงสุดของทรัมป์ในช่วงการหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นตามข่าวนี้และสร้างแรงกดดันต่อคู่สกุลเงินนี้
การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเป็นจุดสนใจหลักในวันพุธ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากลดลงรวม 100 จุดเบสิสตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 เทรดเดอร์จะติดตามการแถลงข่าวอย่างใกล้ชิดเนื่องจากอาจให้สัญญาณเกี่ยวกับเส้นทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
"แม้ว่าความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจะลดลงอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีอยู่ ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดไว้ในช่วงปีหน้า" มิเชล ราเนรี รองประธานและหัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาของสหรัฐฯ ที่ TransUnion กล่าว
ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนที่น่าผิดหวังและการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจกดดันดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) ตลาดสวอปกำลังคาดการณ์ว่ามีโอกาสเกือบ 90% ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 50 จุดเบสิสในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ เพิ่มเติมจากสองครั้งที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ในรอบนี้ คาดว่าธนาคารกลางนิวซีแลนด์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 100 จุดเบสิสสำหรับช่วงที่เหลือของปี 2025
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า