- ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจฯ คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ 3% ด้วยแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน การส่งออกที่เพิ่มขึ้น และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
- ปัจจัยเสี่ยงในปีหน้าได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและจีน รวมถึงการขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 อาจมีผลต่อ GDP ที่ 0.93% โดยเน้นมาตรการแก้ปัญหาหนี้และ Easy e-receipt เป็นกลยุทธ์หลัก
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประมาณการณ์ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 จะอยู่ที่ 3% โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพยังช่วยเสริมเศรษฐกิจไทย
ศูนย์ฯ คาดว่าการใช้จ่ายของภาครัฐจะเติบโต 2.4% ส่วนการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 3.1% ด้านการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 2.5% ซึ่งช้าลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลของฐานที่สูงในปีก่อน ขณะเดียวกัน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยถึง 40 ล้านคน ในปี 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.2% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในช่วง 1.75-2.25% โดยมีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ระบุว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3% แต่ความท้าทายคือการสร้างความเชื่อมั่นในโอกาสเติบโตถึง 4-5% ตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ เขาเตือนว่าหากไทยเติบโตไม่ถึง 3% อาจถูกประเทศอื่นในอาเซียนแซงหน้า
อย่างไรก็ดี ศูนย์ฯ ยังคาดการณ์ถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ภาระหนี้สินของครัวเรือน การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
ในปี 2568 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลคาดว่าจะมีผลต่อ GDP ถึง 0.93% โดยมาตรการหลัก ได้แก่ การแก้ปัญหาหนี้และการใช้จ่ายผ่าน Easy e-receipt ซึ่งสามารถกระตุ้นการบริโภคและเสริมสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจได้
นายธนวรรธน์ ยังเตือนว่าหากไม่มีมาตรการทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม จะทำให้เศรษฐกิจถดถอยและรัฐบาลควรพิจารณานโยบายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว