ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25%-5.5% หลังการประชุมนโยบายเดือนมิถุนายนตามคาด สรุปประมาณการเศรษฐกิจฉบับปรับปรุง (SEP) ที่เรียกว่า dot plot แสดงให้เห็นว่าผู้กําหนดนโยบายถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น เจ้าหน้าที่ 4 คนจาก 19 คนไม่เห็นชอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2024 โดย 7 คนคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิส (bps) ในขณะที่ 8 คนระบุว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 50 จุดเบสิส
ในการแถลง ข่าวหลังการประชุม ประธานเฟดนายเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ไม่บอกใบ้ถึงช่วงเวลาของการลดอัตราดอกเบี้ย "เราต้องการความมั่นใจเพิ่มเติม ตัวเลขเงินเฟ้อดีมากขึ้น แต่จะไม่เจาะจงว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยกี่ครั้ง" พาวเวลล์กล่าว
อ้างอิงจากเครื่องมือ CME FedWatch Tool หลังจากการประชุมของเฟด และข้อมูลเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม โอกาสที่เฟดจะเปลี่ยนจากการคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนกันยายนลดลงเหลือ 30% จาก 50%
ในอนาคตอันใกล้ เมื่อช่วงเวลางดให้สัมภาษณ์สื่อของเฟดสิ้นสุดลงหลังการประชุมเดือนมิถุนายน นักลงทุนจะให้ความสนใจกับความคิดเห็นของผู้กําหนดนโยบายอย่างใกล้ชิด
ลอแรตตา เมสเตอร์ (Loretta Mester) ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวว่าเธอต้องการเห็น "ข้อมูลเงินเฟ้อที่ดูดีในระยะยาว" นีล คัชคารี (Neel Kashkari) ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิสกล่าวในช่วงสุดสัปดาห์ว่าเป็น "การคาดการณ์ที่สมเหตุสมผล" ว่าเฟดจะรอจนถึงเดือนธันวาคมเพื่อลดอัตราดอกเบี้ย โดยเสริมว่าธนาคารกลางอยู่ในจุดที่ดีมากที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจใดๆ
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่เป็นตัวอ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกไหลเข้าประเทศเพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรเพื่อฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ใจปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น
สรุปรายสัปดาห์: เศรษฐกิจชะลอตัวลง, ความวุ่นวายทางการเมืองในฝรั่งเศส, ขาขึ้นในตลาดพันธบัตร และความคาดหวังของเฟด
ราคาทองคำปรับตัวลดลงท่ามกลางความแข็งแกร่งของ USD ที่ได้รับแรงหนุนจากเฟด
การเคลื่อนไหวของตลาดทองคำและโลหะเงิน: การวิเคราะห์นโยบายการเงินของเฟดและตัวเลข CPI