

ตั้งแต่ต้นปี 2025 ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ปรับตัวขึ้นประมาณ 15% และ 21% ตามลำดับ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed อย่างต่อเนื่อง ความตื่นตัวเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเติบโตแข็งแกร่งของกำไรภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม หุ้นสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวลงจากระดับสูงสุด และนักลงทุนก็เริ่มมีมุมมองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนต่อทิศทางข้างหน้า
Michael Burry (ผู้มีชื่อเสียงจาก “The Big Short”) เปิดเผยผ่านเอกสาร 13F ล่าสุดของกองทุน Scion ว่าเขาจัดพอร์ตถึง 80% สำหรับสถานะ “ชอร์ต” หุ้น Nvidia และ Palantir ขณะที่บรรดาสถาบันการเงินรายใหญ่ของวอลล์สตรีทอย่าง Morgan Stanley และ Goldman Sachs ก็ออกมาแสดงท่าที “ระมัดระวัง” ต่อมูลค่าหุ้นที่สูงเกินจริง โดยเตือนถึงความเป็นไปได้ของการปรับฐานครั้งใหญ่ในงานประชุมที่ฮ่องกง
ในอีกด้าน Deutsche Bank ประเมินเป้าหมาย S&P 500 ที่ 7,000 จุด ส่วน Bank of America คาดหวังการรีบาวด์ตามฤดูกาลในเดือนพฤศจิกายน และ Morgan Stanley ก็ยังเห็นโอกาสขยับขึ้นเล็กน้อยในระยะสั้น
ฝ่าย “หมี” มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้คล้ายช่วงปลายยุค 1990 โดยชี้ถึง 3 ปัจจัยลบหลัก: มูลค่าสูงเกินจริง เงินเฟ้อเรื้อรัง และการลงทุนไขว้ระหว่างบริษัทยักษ์เทคโนโลยี ขณะที่ฝ่าย “กระทิง” มองว่าหุ้นยังมีโอกาสไปต่อ ด้วยแรงหนุนจากตลาดแรงงาน การลดดอกเบี้ยเชิงป้องกันของเฟด และการเติบโตของกำไรบริษัทขนาดใหญ่
นักลงทุนฝั่งหมีเทียบภาวะตลาดปัจจุบันกับ “ฟองสบู่ดอตคอม” ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งขณะนั้นหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ตมีค่า P/E ของ Nasdaq สูงถึง 100 เท่า
ในปัจจุบัน ดัชนี Nasdaq มีค่า P/E เกิน 35 เท่า แม้ยังไม่แตะระดับฟองสบู่เดิม แต่ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และอยู่ในระดับ “เกิน 2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน” ซึ่งทางสถิติถือว่าเกินขอบเขตปกติ 95% — บ่งชี้ว่าหุ้นสหรัฐฯ “แพงเกินพื้นฐาน” อย่างชัดเจน
ความเสี่ยงจึงอยู่ที่ความไม่สมดุลระหว่าง “มูลค่า” กับ “ตรรกะที่รองรับมูลค่านั้น” หากแรงลดดอกเบี้ยของเฟดเริ่มอ่อนลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว (เช่น 10 ปี) อาจดีดขึ้น กดดันการประเมินมูลค่าหุ้นเติบโต โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีที่ยังไม่มีกำไร ขณะเดียวกัน ความเปราะบางของตลาดที่ระดับมูลค่าสูง ทำให้เหตุการณ์ลบเพียงเล็กน้อยสามารถจุดชนวน “เทขายแบบตื่นตระหนก” ได้ง่าย
รูปภาพ 2.1: อัตราส่วน P/E ของ Nasdaq

ที่มา: World PE Ratio, TradingKey
ในช่วงปลายยุค 1990 เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันและปัญหาซัพพลาย ทำให้เฟดต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นชนวนสำคัญของฟองสบู่แตก
สถานการณ์ปัจจุบันก็คล้ายกัน — ทั้งผลสะสมจากนโยบายภาษีทรัมป์ การขาดดุลการคลังเรื้อรัง หนี้สาธารณะสูง การคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่างหนุนให้ CPI ของสหรัฐฯ เดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 3% สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟดอย่างมาก
หากเงินเฟ้อเร่งตัวอีกครั้ง เฟดอาจต้องกลับมาใช้นโยบาย “เหยี่ยว” อีกครั้ง ซึ่งหมายถึงการลดดอกเบี้ยจะช้ากว่าที่ตลาดคาด — และอาจเกิดเหตุซ้ำรอยปี 2000 ที่ตลาดหุ้นร่วงแรงหลังเฟดกลับลำ
รูปภาพ 2.2: U.S. CPI (%, y-o-y)

ที่มา: Refinitiv, TradingKey
"ยุคดอตคอม" มีการลงทุนไขว้ระหว่างบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมาก เช่น บริษัท A ลงทุนใน B แล้ว B ลงทุนใน C — ทุกธุรกรรมถูกตีความว่า “สัญญาณการเติบโต” ทั้งที่แท้จริงเป็นการสร้าง “มูลค่าหลอก” ซึ่งสุดท้ายทำให้ฟองสบู่แตก
ปัจจุบันภาพนั้นกลับมาอีกครั้ง บริษัทเทคยักษ์ต่างถือหุ้นไขว้กันในชื่อ “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์” เช่น Nvidia และ Microsoft ลงทุนใน OpenAI ขณะที่ Amazon และ Google ลงทุนใน Anthropic แม้จะสร้างความเชื่อมั่นชั่วคราว แต่ในเชิงโครงสร้าง มันเพิ่มความเปราะบางต่อความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หากรายได้หรือมูลค่าหุ้นของฝ่ายใดตกลง ก็อาจเกิด “โดมิโนเอฟเฟกต์” ได้ทันที
แม้ตลาดแรงงานชะลอตัว จะสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่อ่อนลง แต่ในอีกมุมหนึ่ง นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Fed มีเหตุผลในการลดดอกเบี้ยต่อ
ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรก ขณะที่อัตราว่างงานขยับสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ “พันธกิจคู่” ของ Fed ที่ต้องรักษาเสถียรภาพราคาและการจ้างงาน หากการจ้างงานชะลอ Fed มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายต่อเนื่อง การลดดอกเบี้ยช่วยลดต้นทุนการกู้ยืม ส่งเสริมการลงทุนและการบริโภค และเป็นแรงหนุนสำคัญให้ตลาดหุ้นฟื้นตัว
ที่มา 3.1: U.S. Labour Market

ที่มา: Refinitiv, TradingKey
รอบการลดดอกเบี้ยมักแบ่งเป็น 2 แบบ:
รอบปัจจุบันจัดอยู่ในแบบหลัง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวต่อเนื่อง ยอดขายปลีกฟื้นตัวหลังจุดต่ำสุดในเดือนพฤษภาคม ภาคบริการยังอยู่ในโซนขยายตัว และ GDP ไตรมาส 2 ถูกปรับเพิ่มเป็น 3.8% แสดงถึง “ความยืดหยุ่นสูง” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังนั้น การลดดอกเบี้ยเชิงป้องกันในรอบนี้มีแนวโน้มเป็น “บวกสุทธิ” ต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะเมื่อรวมกับนโยบายลดภาษีในประเทศ
รูปภาพ 3.2.1: S&P 500 Performance During Rate-Cutting Cycles

ที่มา: Refinitiv, TradingKey
รูปภาพ 3.2.2: U.S. Retail Sales and PMI

ที่มา: Refinitiv, TradingKey
ฝั่งกระทิงชี้ว่า ความแตกต่างระหว่าง “ฟองสบู่ดอตคอม” กับ “กระแส AI” ครั้งนี้ คือพื้นฐานกำไรที่แข็งแรง
ยุค 1999 บริษัทเทคส่วนใหญ่ไม่มีรายได้จริง เช่น Yahoo มีกำไรเพียง 61 ล้านดอลลาร์ แต่มีค่า P/E ถึง 60 เท่า และหลายบริษัทอย่าง Webvan ไม่มีรายได้แต่มีมูลค่าตลาดถึง 8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่บริษัทปัจจุบัน เช่น Amazon และ Apple ต่างมีกำไรและกระแสเงินสดจริงรองรับ
ดังนั้น แม้ค่า P/E ของ Nasdaq จะสูงกว่า 35 เท่า แต่การเติบโตที่มี “กำไรจริง” ทำให้มูลค่าที่สูงในครั้งนี้แตกต่างจากฟองสบู่ในอดีต และสร้างฐานรองรับให้ตลาดมีแนวโน้มขึ้นต่อได้อย่างยั่งยืน
หุ้นเหล่านี้มีความอ่อนไหวต่อสภาพคล่องทางการเงิน และสามารถรับอานิสงส์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
ทั้งฝ่ายหมีและฝ่ายกระทิงต่างมีเหตุผลสนับสนุน 3 ประการของตนเอง
นักลงทุนสายหมีควรลดพอร์ต ETF ตลาดกว้างและเน้นหุ้นป้องกันความเสี่ยง ส่วนสายกระทิงควรเพิ่มน้ำหนักในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย โดยเฉพาะเทคโนโลยี อสังหาฯ และทองคำ
TradingKey สรุปว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมี “ศักยภาพขาขึ้น” ที่น่าจับตา แต่ในเวลาเดียวกัน ความเสี่ยงก็ยังอยู่ในระดับสูง จึงควรใช้กลยุทธ์ “ถือยาวแบบมีจุดตัดขาดทุน” (Long with Stop-Loss) เพื่อรับโอกาสโดยควบคุมความเสี่ยงอย่างรอบคอบ