Investing.com - ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในตลาดเอเชียวันนี้แม้จะขาดทุนติดต่อกันมาสามสัปดาห์ ท่ามกลางการประกาศภาษีใหม่ของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมด
ณ เวลา 08:41 น.(GMT+7) น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้น 0.5% มาเป็น 75.06 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนมีนาคม ปรับตัวขึ้น 0.6% มาเป็น 71.13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งสองสัญญาปรับตัวลดลงเกือบ 2% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากสินค้าคงคลังมันดิบของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงคำประกาศของทรัมป์เกี่ยวกับการเพิ่มกำลังการผลิต
ภาษีตอบโต้จากจีน ทรัมป์ส่งสัญญาณเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม
การเรียกเก็บภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนโดยสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้จีนใช้มาตรการตอบโต้ รวมถึงการเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และถ่านหิน จากสหรัฐฯ
ภาษีตอบโต้ของจีนมีกำหนดการณ์ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันนี้
นอกเหนือจากการเก็บภาษีต่อสินค้าจีนแล้ว สหรัฐยังได้กำหนดภาษี 25% สำหรับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมด ซึ่งทรัมป์ประกาศเมื่อวันอาทิตย์
โลหะเหล่านี้มีความสำคัญต่อการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมน้ำมัน เช่น ท่อส่งน้ำมันและถังเก็บน้ำมัน การเพิ่มต้นทุนวัสดุเหล่านี้อาจทำให้ต้นทุนของบริษัทพลังงานสูงขึ้น ซึ่งอาจชะลอโครงการโครงสร้างพื้นฐานและส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโดยรวม
ข้อพิพาททางการค้าและการบังคับใช้ภาษีเหล่านี้กำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนให้กับตลาดน้ำมันโลก ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อทั้งอุปทานและอุปสงค์
ภาวะความไม่แน่นอนและความเป็นไปได้ที่อุปทานทั่วโลกจะตึงตัวขึ้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้
การเรียกเก็บภาษีส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้นสามารถนำไปสู่ราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น นักลงทุนมักมองว่าสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันดิบ เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้เกิดแรงซื้อเพิ่มขึ้นและดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น
แม้ว่าผลกระทบในระยะสั้นของมาตรการภาษีต่อราคาน้ำมันและก๊าซอาจมีจำกัด แต่ผลกระทบโดยรวมต่อภาคพลังงานนั้นอาจมีความสำคัญในระยะยาว
ความกังวลด้านอุปสงค์ของจีนเพิ่มขึ้นจากตัวเลขเงินเฟ้อที่อ่อนแอ
ข้อมูลเงินเฟ้อของจีนล่าสุดประจำเดือนมกราคมสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ช้า ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อราคาน้ำมันโลก
ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือนมกราคม ขณะที่ตัวเลข PPI ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงความอ่อนแออย่างต่อเนื่องในทั้งการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและกิจกรรมภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของอุปสงค์น้ำมันในเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
การลดลงของตัวเลข PPI บ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านภาวะเงินฝืด ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีการใช้พลังงานอย่างมาก หากการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่อง อุปสงค์น้ำมันและผลิตภัณฑ์กลั่น เช่น ดีเซล อาจลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันต่อราคาน้ำมันในอนาคต
นอกจากนี้ ตลาดทั่วโลกก็กำลังจับตาดูนโยบายตอบสนองของจีนอย่างใกล้ชิด หากอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนแอทำให้รัฐบาลปักกิ่งต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งนี้อาจช่วยกระตุ้นอุปสงค์น้ำมันในที่สุด