Investing.com - ราคาน้ำมันทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ในตลาดเอเชียวันนี้ ขณะที่ความตึงเครียดด้านภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็ทำให้นักลงทุนยังคงระมัดระวัง ขณะเดียวกัน คำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอย่างเข้มงวดก็ช่วยพยุงตลาดได้บางส่วน
ณ เวลา 08:26 น.(GMT+7) น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ขยับลง 0.1% มาเป็น 76.13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนมีนาคมขยับขึ้น 0.1% เป็น 72.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในกรอบแคบ สะท้อนถึงความระมัดระวังของตลาดในขณะที่นักลงทุนประเมิณปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานที่ขัดแย้งกัน
"เมื่อวานนี้ (วันอังคาร) ราคาน้ำมันเผชิญกับสองปัจจัยหลัก โดยในช่วงแรก ราคาปรับตัวลงเนื่องจากจีนตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ แต่หลังจากที่สหรัฐใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นกับอิหร่าน ตลาดก็สามารถฟื้นตัวจากการขาดทุนได้ในช่วงต่อมา" นักวิเคราะห์จาก ING ระบุในบันทึก
ราคาน้ำมันเผชิญกับแรงกดดันหลังจากจีนตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐหลายรายการ รวมถึง ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ถ่านหิน น้ำมันดิบ และอุปกรณ์การเกษตร
สถานการณ์ดังกล่าวยังเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด เนื่องจากนักลงทุนต่างประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุปสงค์น้ำมันโลก
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าทรัมป์ยังไม่รีบร้อนที่จะเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ทำให้เกิดความกังวลว่ายังไม่มีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลง ก่อนที่มาตรการภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์
ในอีกด้านหนึ่ง ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมอีกหลังจากที่ทรัมป์ลงนามในคำสั่งให้กลับมาใช้มาตรการ "แรงกดดันทางเศรษฐกิจขั้นสูงสุด" กับอิหร่าน ซึ่งรวมถึงการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันอย่างเข้มงวดขึ้น และมาตรการที่มุ่งผลักดันให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่าน “ลดลงเหลือศูนย์”
การดำเนินการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานตึงตัวในตลาด และอาจผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
"การบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นอาจทำให้อุปทานหายไปถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันที่ลดลงจากอิหร่านนั้นอาจไม่ได้ช่วยลดราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการให้เกิดขึ้น" นักวิเคราะห์จาก ING กล่าวเพิ่มเติม
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) เปิดเผยรายงานน้ำมันดิบคงคลังรายสัปดาห์เมื่อวันอังคาร โดยระบุว่าสินค้าคงคลังน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 5.025 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ของวันที่ 31 มกราคม
ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.170 ล้านบาร์เรล และยังสูงกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 2.860 ล้านบาร์เรล
การเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของน้ำมันดิบคงคลังในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ของการชะลอตัวในอุปสงค์ หรือภาวะอุปทานล้นตลาด
นอกจากนี้ องค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) มีแนวโน้มที่จะดำเนินแผนเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนเป็นต้นไป ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันอุปทานในตลาด
ตลาดจะจับตารายงานประจำสัปดาห์ของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ที่จะเปิดเผยในวันเดียวกัน เพื่อยืนยันแนวโน้มดังกล่าวต่อไป