Investing.com - ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในตลาดเอเชียวันนี้ โดยขยับลงจากการพุ่งขึ้นในวันก่อนหน้า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกออกไปหนึ่งเดือน
การตัดสินใจครั้งนี้ได้ช่วยบรรเทาความกังวลในระยะสั้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจเกิดการหยุดชะงักของอุปทานจากซัพพลายเออร์น้ำมันหลักสองรายของสหรัฐฯ
ณ เวลา 08:21 น.(GMT+7) น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ลดลง 0.7% มาเป็น 75.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนมีนาคมลดลง 1% เป็น 71.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันพลิกผันหลังทรัมป์เลื่อนภาษีกับแคนาดาและเม็กซิโก
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% จากแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึงภาษี 10% สำหรับผลิตภัณฑ์พลังงานจากแคนาดา และภาษี 10% สำหรับสินค้าจากจีน ซึ่งเดิมมีกำหนดการณ์เริ่มใช้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากการหารือกับผู้นำของแคนาดาและเม็กซิโก ทรัมป์ก็ตกลงที่จะเลื่อนการขึ้นภาษีกับทั้งสองประเทศออกไป 30 วัน
ความสนใจของตลาดยังคงอยู่ที่การบังคับใช้ภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งยังคงมีกำหนดจะเริ่มใช้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า โดยภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปและผลกระทบต่อการค้าระดับโลกและอุปทานน้ำมันนั้นยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มราคาน้ำมันในระยะสั้น
สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันจากแคนาดาประมาณ 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจากเม็กซิโกเกือบ 500,000 บาร์เรลต่อวัน โดยการขึ้นภาษีน้ำมันที่คาดการณ์ไว้อาจทำให้ต้นทุนของโรงกลั่นในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคมิดเวสต์และชายฝั่งอ่าวสหรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นและอาจส่งผลให้มีการปรับลดกำลังการผลิต
OPEC+ ยังคงแผนเพิ่มกำลังการผลิตเริ่มต้นตั้งแต่เดือนเมษายน
แม้จะมีข่าวเกี่ยวกับภาษีนำเข้า แต่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) ก็ยังคงแผนการผลิตน้ำมันตามเดิม โดยปฏิเสธข้อเรียกร้องจากทรัมป์ให้ลดราคาน้ำมัน
การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่ม OPEC+ ที่จะค่อย ๆ ยกเลิกการลดกำลังการผลิต ซึ่งมีกำหนดเริ่มต้นในวันที่ 1 เมษายน ขึ้นอยู่กับระดับสินค้าคงคลังที่ต่ำและความต้องการน้ำมันทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น
กลุ่ม OPEC+ ได้ลดกำลังการผลิตลง 5.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 5.7% ของอุปทานทั่วโลก ตามข้อตกลงเป็นลำดับขั้นตั้งแต่ปี 2022
ในเดือนธันวาคม OPEC+ ได้ขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2025 โดยเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตไปเป็นเดือนเมษายน การขยายเวลานี้ถือเป็นการเลื่อนครั้งล่าสุด เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอและอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งอื่นนอกกลุ่ม OPEC+