tradingkey.logo

ปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดในวันนี้: หุ้นฟิวเจอร์สร่วง ภาษีของทรัมป์ เงินดอลลาร์

Investing.com3 ก.พ. 2025 เวลา 10:08

Investing.com - ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐร่วงลง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ตัดสินใจกำหนดภาษีนำเข้าใหม่กับประเทศคู่ค้าสำคัญของอเมริกา ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก และจีน โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่ามาตรการดังกล่าวจำเป็นต่อการสกัดกั้นการไหลเข้าของผู้อพยพผิดกฎหมายและสารเฟนทานิลเข้าสู่ในสหรัฐฯ

เงินดอลลาร์แข็งค่าหลังจากมีการประกาศมาตรการดังกล่าว ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น และราคาทองคำลดลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

1. หุ้นฟิวเจอร์สร่วงหลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี

หุ้นฟิวเจอร์สสหรัฐร่วงลงในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบจากการที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน

ณ เวลา 15:31 น.(GMT+7) ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ส ลดลง 82 จุด หรือ 1.6% Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส ลดลง 355 จุด หรือ 1.6% และ ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ลดลง 515 จุด หรือ 1.2%

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าเข้าไปยังสหรัฐฯ จากแคนาดาและเม็กซิโก โดยเฉพาะพลังงานจากแคนาดาที่ถูกเก็บภาษี 10% นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนด้วย

มาตรการนี้ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระดับโลกที่กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยแคนาดาและเม็กซิโกได้ประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ของจีนมีแผนจะยื่นเรื่องคัดค้านการกระทำดังกล่าวต่อองค์การการค้าโลก (WTO)

นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าภาษีเหล่านี้อาจส่งผลให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ สูงขึ้นและทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง รวมถึงอาจเป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากทั้งสองประเทศพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก

ทรัมป์ยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวอาจสร้าง "ความเจ็บปวดระยะสั้น" ให้กับชาวอเมริกัน แต่เขายังเสริมว่าการกำหนดภาษีกับสหภาพยุโรป "จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน" แม้ว่าเขาจะไม่ได้ระบุช่วงเวลาที่แน่ชัด

ในตลาดเอเชียวันนี้ หุ้นปรับตัวลดลงโดยเฉพาะหุ้นของผู้ผลิตรถยนต์ เช่น Toyota (TYO:7203) Honda (TYO:7267) และ (OTC:Nissan (TYO:7201) ซึ่งมีโรงงานผลิตในเม็กซิโกและส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ โดยราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ร่วงลงอย่างหนัก

2. ดอลลาร์แข็งค่า ราคาน้ำมันพุ่ง ทองคำร่วง

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ประกาศภาษีใหม่ ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่ามาตรการดังกล่าวอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และอาจลดโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐจะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม

นักวิเคราะห์จาก Capital Economists คาดการณ์ว่า "แรงกดดันด้านราคา" จากภาษีและมาตรการในอนาคตอาจเกิดขึ้นเร็วและรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

"ในสภาพการณ์เช่นนี้ โอกาสที่เฟดจะกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย" นักวิเคราะห์กล่าว

การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ก็ยังทำให้ความน่าสนใจของทองคำลดลง เนื่องจากมันทำให้ราคาทองคำแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลงหลังจากที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแรงซื้อทองคำก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย

ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าภาษีอาจกระทบต่ออุปทานน้ำมันเข้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก อย่างไรก็ตาม ความกังวลว่าภาษีอาจกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกก็ยังคงจำกัดการปรับตัวขึ้นของราคา

3. ตลาดคริปโตร่วงลง

ราคาคริปโตปรับตัวลดลง เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อความน่าสนใจของสินทรัพย์เสี่ยง

Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบสามสัปดาห์ โดยลดลงต่ำกว่าระดับ 100,000 ดอลลาร์ ขณะที่ Ethereum ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับสอง ก็ร่วงลงมากกว่า 16%

นอกจากผลกระทบของภาษีต่อความเชื่อมั่นในตลาดแล้ว ความผิดหวังที่ไม่มีมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมคริปโตอย่างเป็นรูปธรรมในทันที ก็ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ดิจิตอลเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยให้คำมั่นระหว่างการหาเสียงว่าเขาจะสนับสนุนคริปโต ซึ่งช่วยกระตุ้นความหวังว่ารัฐบาลสหรัฐจะผ่อนคลายกฎระเบียบหลังจากช่วงที่ภาคส่วนนี้เผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดในยุคของไบเดน ความคาดหวังดังกล่าวส่งผลให้ราคาคริปโตพุ่งสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดย Bitcoin เคยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยที่สองในเดือนมกราคม

4. ภาษีสหรัฐกดดันภาคการผลิตของจีน

กิจกรรมภาคการผลิตของจีนเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมกราคม เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีของสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ ตามข้อมูลดัชนี PMI ภาคเอกชนที่เผยแพร่ในวันนี้

ดัชนี PMI ภาคการผลิตของ Caixin อยู่ที่ 50.1 ในเดือนมกราคม ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.6 และลดลงจากระดับ 50.5 ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขก็ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและการหดตัวของภาคการผลิต

การสำรวจระบุว่า ความเชื่อมั่นของภาคการผลิตจีนดีขึ้นในช่วงต้นปี เนื่องจากคาดหวังมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับภาษีของสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นปัจจัยกดดันแนวโน้มเศรษฐกิจ

ตัวเลขดังกล่าวเผยแพร่ออกมาเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ดัชนี PMI อย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีนระบุว่าภาคการผลิตหดตัวโดยไม่คาดคิดในเดือนมกราคม

5. จับตารายงานผลประกอบการและข้อมูลเศรษฐกิจ

ประเด็นเรื่องภาษีอาจเป็นหัวข้อหลักในการพูดคุยระหว่างการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้

ในบรรดาบริษัทที่มีรายงานผลประกอบการสำคัญก็จะมีทั้ง Alphabet (NASDAQ:GOOGL) และยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon (NASDAQ:AMZN) ที่จะเปิดเผยตัวเลขไตรมาสของพวกเขาในวันอังคารและวันพฤหัสบดีตามลำดับ

เช่นเดียวกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่รายงานผลประกอบการไปก่อนหน้านี้อย่าง Microsoft (NASDAQ:MSFT) และ Meta Platforms (NASDAQ:META) นักวิเคราะห์คาดว่าผู้บริหารของ Alphabet และ Amazon จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) หลังจากที่มีการเปิดตัวโมเดล AI ของสตาร์ทอัพจีนอย่าง DeepSeek

DeepSeek อ้างว่าโมเดลดังกล่าวให้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับ ChatGPT ของ OpenAI แต่ใช้ข้อมูลที่ไม่ซับซ้อนเท่าและมีต้นทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์ในการพัฒนา แม้ว่าจะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้ออ้างนี้ แต่ข่าวดังกล่าวก็ทำให้ตลาดผันผวนในสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นในการลงทุนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ใน AI ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์

ในอีกด้านหนึ่ง นักลงทุนจะมีโอกาสวิเคราะห์ข้อมูลตลาดแรงงานชุดใหม่ รวมถึงรายงานการจ้างงานประจำเดือนมกราคม

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าสหรัฐฯ เพิ่มตำแหน่งงาน 154,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว ลดลงจากระดับ 256,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม ขณะที่อัตราการว่างงานคาดว่าจะอยู่ที่ 4.1% ซึ่งเท่ากับเดือนก่อนหน้า อัตราการเติบโตของค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงคาดว่าจะอยู่ที่ 0.3% เช่นเดียวกับเดือนธันวาคม

ตัวเลขเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของอุปสงค์แรงงานในช่วงต้นปีใหม่ และอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่เฟด นำมาพิจารณาในการกำหนดนโยบายการเงินในอนาคต หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2024

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลที่ให้ไว้บนเว็บไซต์นี้มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุน

บทความที่เกี่ยวข้อง

KeyAI