Investing.com - หุ้นฟิวเจอร์สสหรัฐร่วงลงอย่างหนักในช่วงเย็นวันอาทิตย์ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีการค้าต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าระดับโลกครั้งใหม่
ทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษี 25% ต่อแคนาดาและเม็กซิโก และเพิ่มภาษีอีก 10% ต่อจีน โดยเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ลดการลักลอบนำเข้ายาเสพติดและผู้อพยพผิดกฎหมายเข้าสู่สหรัฐฯ
ทั้งสามประเทศออกมาประณามมาตรการภาษีดังกล่าวและให้คำมั่นว่าจะตอบโต้
S&P 500 ฟิวเจอร์ส ร่วงลง 1.6% มาเป็น 5,970.25 จุด ขณะที่ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส ลดลง 2.4% เป็น 21,089.25 จุด ณ เวลา 06:10 น.(GMT+7) ด้าน ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ลดลง 1.1% มาเป็น 44,233.0 จุด
การร่วงลงของหุ้นฟิวเจอร์สยังเกิดขึ้นหลังจากตลาดวอลล์สตรีทปิดลบเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากดัชนีราคา PCE ของเดือนธันวาคมเติบโตตามที่คาดการณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ มาตรการภาษีของทรัมป์ก็คาดว่าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทรัมป์ลงนามคำสั่งบริหารกำหนดมาตรการภาษี
เมื่อวันเสาร์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารที่กำหนดมาตรการภาษีการค้าใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยภาษีดังกล่าวจะครอบคลุมสินค้านำเข้าทั้งหมดจากทั้งสามประเทศ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากแคนาดาจะถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า
ทรัมป์ยังได้ใส่เงื่อนไขในการเพิ่มอัตราภาษีในกรณีที่ประเทศใดตอบโต้ พร้อมทั้งระบุถึงความเป็นไปได้ในการกำหนดภาษีที่สูงขึ้น และการใช้ภาษีนำเข้าในอัตราสากลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
หลังจากประกาศมาตรการดังกล่าว ค่าเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและเปโซเม็กซิโกร่วงลงอย่างมาก ส่วนค่าเงินหยวนยังไม่มีการซื้อขายในตลาดภายในประเทศ เนื่องจากเป็นช่วงตรุษจีน
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับมาตรการภาษีเหล่านี้ตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนบางส่วนคาดการณ์ว่าตลาดอาจปรับตัวรับข่าวนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม การร่วงลงอย่างหนักของหุ้นฟิวเจอร์สชี้ให้เห็นว่า ตลาดอาจยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบของมาตรการดังกล่าวอย่างเต็มที่ และวอลล์สตรีทอาจเผชิญกับแรงกดดันต่อเนื่องในสัปดาห์นี้
นักวิเคราะห์คาดว่ามาตรการภาษีจะทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาษีเหล่านี้จะถูกผลักภาระให้กับผู้นำเข้าสินค้าภายในประเทศ ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะลดโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
“เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากมาตรการภาษีเหล่านี้ และมาตรการอื่น ๆ ที่อาจตามมา จะส่งผลกระทบมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้แต่แรก… โอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าแทบจะหมดลงแล้ว” นักวิเคราะห์จาก Capital Economics ระบุในบันทึก
หุ้นวอลล์สตรีทร่วงจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
การร่วงลงของหุ้นฟิวเจอร์สในวันอาทิตย์ถือเป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันศุกร์ หลังจากรายงานดัชนีราคา PCE แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามคาด ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน
ดัชนีดังกล่าวถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ และยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางในเดือนธันวาคม ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องจะลดโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมส่งสัญญาณ hawkish
ดัชนี S&P 500 ปรับลดลง 0.5% ปิดที่ 6,040.53 จุดเมื่อวันศุกร์ ขณะที่ NASDAQ คอมโพสิต ลดลง 0.3% ปิดที่ 19,627.44 จุด และ ดาวโจนส์ ลดลง 0.8% ปิดที่ 44,544.66 จุด
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังได้รับแรงกดดันจากการลดลงของหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากจีนเปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) DeepSeek ซึ่งบดบังการรายงานผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหลายแห่ง ขณะที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายด้าน AI ที่เพิ่มสูงขึ้น
ในสัปดาห์นี้ ตลาดจะต้องจับตาการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาสของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ รวมถึง Alphabet Inc (NASDAQ:GOOGL) กับ Amazon.com Inc (NASDAQ:AMZN) และยังมีบริษัทอื่น ๆ อีกเช่น Alibaba Group Holdings (NYSE:BABA) AMD (NASDAQ:AMD) Walt Disney Company (NYSE:DIS) Qualcomm Incorporated (NASDAQ:QCOM) และ Uber Technologies Inc (NYSE:UBER)