ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันพุธ คู่ NZDUSD ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปวิ่งใกล้ 0.5980 การเพิ่มขึ้นของดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) ได้รับแรงหนุนจากรายงานการจ้างงานของนิวซีแลนด์ที่สดใส เทรดเดอร์ลดการเก็งที่มีต่อ RBNZ โดยหันไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า
ข้อมูลที่สำนักงานสถิตินิวซีแลนด์เปิดเผยเมื่อวันพุธแสดงให้เห็นว่าอัตราการว่างงานของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 4.6% ในไตรมาสที่สองจาก 4.3% ในไตรมาสแรก ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.7% นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานเพิ่มขึ้น 0.4% ในไตรมาสที่ 2 จากที่ลดลง 0.2% ในการประกาศก่อนหน้า ตัวเลขนี้สูงกว่าที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 0.2% ตัวเลขที่ดีกว่าที่คาดการณ์ได้ลดความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะทําให้ค่าเงินกีวีแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
ในทางกลับกัน หลังจากข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลงในเดือนกรกฎาคมทําให้เกิดความกลัวว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้น ตลาดจึงคาดว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงมากขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน นางแมรี่ ดาลีย์ (Mary Daly) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาซานฟรานซิสโกกล่าวเมื่อวันจันทร์ว่าเธอคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้ โดยเสริมว่าความคืบหน้าเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและการชะลอตัวของการจ้างงานที่ชัดเจนน่าจะผลักดันให้ธนาคารกลางผ่อนคลายนโยบายการเงินในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกัน นายออสแตน กลูส์บี้ (Austan Goolsbee) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาชิคาโกกล่าวว่าหากมีสัญญาณปัญหาทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น ธนาคารกลางเป็นผู้จะแก้ไขเอง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์: คําถามที่พบบ่อย
ปัจจัยสําคัญใดที่ขับเคลื่อนสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์?
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
การตัดสินใจของ RBNZ ส่งผลกระทบต่อดอลลาร์นิวซีแลนด์อย่างไร?
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
ข้อมูลทางเศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์อย่างไร?
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ความเชื่อมั่นในความเสี่ยงในวงกว้างส่งผลกระทบต่อดอลลาร์นิวซีแลนด์อย่างไร?
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า