NZD/USD ลอยตัวอยู่ที่ประมาณ 0.6100 ในชั่วโมงการซื้อขายช่วงเช้าของยุโรปในวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนตอบสนองต่อข้อมูล PMI ที่อ่อนแอของนิวซีแลนด์ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของนิวซีแลนด์ลดลงสู่ระดับ 41.1 ในเดือนมิถุนายน จากที่ 47.2 ในเดือนพฤษภาคม นับเป็นการหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15 และเป็นเดือนที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสามสําหรับช่วงเดือนที่ไม่ใช่การล็อกดาวน์จากโควิด นอกจากนี้ เทรดเดอร์กําลังรอรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของรัฐมิชิแกนและดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ซึ่งมีกําหนดการในวันศุกร์เพื่อเป็นข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ
คู่ NZD/USD ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่อ่อนตัวเกินคาดในเดือนมิถุนายน ซึ่งได้เพิ่มความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมิถุนายน เมื่อเทียบกับตัวเลขของเดือนพฤษภาคมที่เพิ่มขึ้น 3.4% และระดับการคาดการณ์ด้วย ขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน เทียบกับที่คาดการณ์ไว้และระดับก่อนหน้านี้ ที่เพิ่มขึ้น 0.2%
นอกจากนี้ Austan Goolsbee ประธานธนาคารกลางสหรัฐแห่งชิคาโกกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูเหมือนจะอยู่ในเส้นทางของการบรรลุอัตราเงินเฟ้อที่ 2% โดยสิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า Goolsbee กําลังได้รับความเชื่อมั่นว่าเวลาในการลดอัตราดอกเบี้ยอาจใกล้เข้ามาในไม่ช้า เขายังระบุด้วยว่า "มุมมองของผมคือ นี่คือลักษณะของเส้นทางไปสู่ 2%" ตามรายงานของรอยเตอร์
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) คงอัตราดอกเบี้ยเงินสดไว้ที่ 5.5% ในวันพุธตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนสิงหาคมหากอัตราเงินเฟ้อลดลงตามที่คาดการณ์ไว้ ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) อาจได้รับแรงกดดันเนื่องจากคําแถลงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของ RBNZ
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า