TradingKey - ในรายงานวิเคราะห์ Netflix เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เราเคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป หลังจากนั้นราคาหุ้น NFLX ก็ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนีตลาด (11.54% เทียบกับ 21.82%) เรามองว่าระดับ P/E ที่สูงกว่า 50 เท่ายังคงสะท้อนมูลค่าที่เกินจริง แม้จะสะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจโฆษณา แต่กลับมองข้ามความเสี่ยงด้านการคว่ำบาตรและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 หลังปิดตลาดในวันที่ 21 ตุลาคม โดยมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ 1.09 ดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงทันที 6.5%
รายได้รวมเติบโต 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มจำนวนผู้ใช้ การปรับขึ้นราคา และรายได้จากโฆษณา ผลงานหลักในช่วงไตรมาสนี้คือภาพยนตร์ “K-POP: Demon Hunters” ซึ่งมียอดเข้าชมกว่า 325 ล้านครั้ง กลายเป็นภาพยนตร์ออริจินัลของ Netflix ที่มียอดชมสูงสุด และยังถูกนำออกฉายตามโรงภาพยนตร์ ช่วยเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง เนื้อหายอดนิยมอื่น ๆ ได้แก่ “Wednesday” ซีซั่น 2, “Happy Gilmore 2” และศึกมวย Canelo vs. Crawford
ในเชิงภูมิศาสตร์ ตลาดหลักอย่างอเมริกาเหนือและยุโรปเติบโต 17.3% และ 18.1% ตามลำดับ ส่วนตลาดลาตินอเมริกาชะลอตัวลงเหลือ 10.5% จากผลกระทบของค่าเงิน ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเติบโตสูงสุดที่ 21.3%
ประเด็นหลักของผลประกอบการไตรมาสนี้คือ อัตรากำไรลดลงต่ำกว่าที่คาด โดยบริษัทต้องจ่ายค่าไกล่เกลี่ยภาษีครั้งเดียวให้กับกรมสรรพากรของบราซิลมูลค่า 619 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกบันทึกเป็นต้นทุนการดำเนินงาน หากตัดรายการนี้ออก EPS จะอยู่ที่ 7.30 ดอลลาร์ สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 6.96 ดอลลาร์
กระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 2.3 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปี 2024 ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ซื้อหุ้นคืน
ในช่วงการประชุมทางโทรศัพท์กับนักลงทุน ฝ่ายบริหารได้ลดกระแสข่าวเกี่ยวกับการซื้อกิจการ Warner Bros. Discovery (WBD) โดยย้ำว่าไม่มีแผนดำเนินการ ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวก เพราะการเข้าซื้อกิจการที่มีภาระหนี้สูงเช่น WBD อาจกระทบต่อฐานะทางการเงินของ Netflix ในระยะยาว
สำหรับไตรมาส 4 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโต 16.7% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานจะลดลงเหลือ 23.9% จากระดับเฉลี่ยในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจาก (1) ต้นทุนตัดจำหน่ายของคอนเทนต์ยอดนิยมที่เพิ่มขึ้น, (2) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโฆษณาและธุรกิจเกม และ (3) ปัจจัยฤดูกาล — เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปีซึ่ง Netflix มักทุ่มงบการตลาดมากขึ้น ถึงอย่างนั้น เนื้อหาในช่วงไตรมาส 4 ยังคงแข็งแกร่ง เช่น “Stranger Things” ซีซั่นสุดท้าย, “The Diplomat” และการแข่งขัน NFL ในวันคริสต์มาส
มุมมองระยะยาว ในระยะยาว Netflix อยู่บนทางแยกแห่งการเปลี่ยนผ่าน จากโมเดลรายได้แบบสมัครสมาชิกสู่การสร้างระบบธุรกิจโฆษณาที่มั่นคง การเปลี่ยนผ่านนี้ถือว่าเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมและมีประโยชน์หลายด้าน ได้แก่
บริษัทคาดว่าจะใช้เทคโนโลยี AI มากขึ้นในกระบวนการดำเนินงาน โดยเน้นที่การปรับปรุงอัลกอริทึมการแนะนำเนื้อหา (Recommendation Algorithm) ซึ่งปัจจุบันมีส่วนในการรับชมถึง 80% ของพฤติกรรมผู้ใช้ นอกจากนี้ AI ยังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการโฆษณาแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย
กระแส “Cancel Netflix”
แม้ Netflix จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์หรือสงครามการค้า แต่กระแส “คว่ำบาตร Netflix” ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของบริษัท เนื่องจากคอนเทนต์บางส่วนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ตื่นตัวทางการเมืองเกินไป” โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเชื้อชาติและเพศ ซึ่งก่อให้เกิดกระแสต่อต้านจากฝ่ายอนุรักษนิยม รวมถึงบุคคลชื่อดังอย่าง Elon Musk การรักษาสมดุลทางการเมืองจึงเป็นโจทย์สำคัญสำหรับ Netflix
การแข่งขันในตลาด
แม้ Netflix จะมีความได้เปรียบเชิงคอนเทนต์เหนือ Prime, Hulu และ Disney แต่หากเทียบกับ YouTube สถานการณ์กลับต่างออกไป ข้อมูลจาก Nielsen ระบุว่า ณ เดือนมิถุนายน 2025 Netflix มีส่วนแบ่งเวลาการรับชมทีวีในสหรัฐฯ ประมาณ 8% ขณะที่ YouTube มีถึง 13% และยังเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส แม้คอนเทนต์ของทั้งสองแพลตฟอร์มจะไม่ทับซ้อนกัน (YouTube เน้นคอนเทนต์ผู้ใช้สร้าง ขณะที่ Netflix เน้นซีรีส์และภาพยนตร์) แต่ทั้งคู่ต่างแข่งขันเพื่อแย่ง “เวลาและงบโฆษณา” ของผู้ชม
การแข่งขันด้านถ่ายทอดสดกีฬา
การแข่งขันเพื่อสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬายังคงรุนแรง ล่าสุด Apple ได้รับสิทธิ์ถ่ายทอด F1 ซึ่งทำให้ตลาดนี้ดุเดือดขึ้น Netflix ต้องรักษาความระมัดระวังในการลงทุน ไม่เช่นนั้นอาจเผชิญความเสี่ยงด้านผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ
กรณีค่าปรับภาษี 619 ล้านดอลลาร์ในบราซิลแสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงด้านกฎระเบียบยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องระวัง โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจโฆษณาเติบโต Netflix อาจต้องเผชิญกับข้อกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) มากขึ้น
รายได้จากโฆษณาจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่สัดส่วนยังคงไม่เกิน 15% ของรายได้รวมภายในปี 2027 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรที่สูงของธุรกิจนี้จะทำให้กำไรเติบโตเร็วกว่ารายได้ คาดว่า EPS จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18–20% ต่อปี แม้การเติบโตในระดับนี้จะดูน่าสนใจ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับระดับ P/E ที่สูงกว่า 50 เท่า ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมราคาหุ้นของ Netflix จึงยังคงเคลื่อนไหวอย่างจำกัดในช่วงที่ผ่านมา
เนื้อหานี้แปลโดย AI ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาดจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและภาษา จึงไม่สามารถรับประกันความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของเนื้อหาได้ทั้งหมด ในการนำข้อมูลไปใช้ โปรดอ้างอิงจากต้นฉบับ และใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือความเข้าใจผิดใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้เนื้อหาดังกล่าว