TradingKey - เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้บรรลุข้อตกลงด้วยวาจาเกี่ยวกับการค้า โดยเกาหลีใต้ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ ลดภาษีสินค้านำเข้าจากเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดประธานาธิบดี อี แจ-มยอง ของเกาหลีใต้ออกมาเปิดเผยว่า การเจรจาข้อตกลงการลงทุนดังกล่าวได้เข้าสู่ภาวะชะงักงัน
จนถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ เกาหลีใต้มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ 416,300 ล้านดอลลาร์ หากข้อตกลงการลงทุนนี้เกิดขึ้นจริง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเกาหลีใต้จะถูกใช้ไปเกือบหมด หากสหรัฐฯ ไม่ยอมรับมาตรการคุ้มครองที่เกาหลีใต้เสนอ เศรษฐกิจเกาหลีใต้อาจเผชิญความเสี่ยงรุนแรงที่คล้ายกับวิกฤตการเงินเอเชียในปี 1997
อี แจ-มยอง ระบุว่า ความเห็นต่างหลักอยู่ที่ วิธีการดำเนินการลงทุน โดยเกาหลีใต้เสนอให้จัดตั้งกลไก สวอปเงินตราต่างประเทศ (currency swap) ร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเงินทุนไหลออกจำนวนมหาศาลที่อาจกระทบค่าเงินวอน แต่จนถึงขณะนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ ยังไม่แสดงการสนับสนุน
“หากเป็นไปตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องโอนเงินสด 350,000 ล้านดอลลาร์ไปลงทุนในสหรัฐฯ แบบครั้งเดียว โดยไม่มีข้อตกลงสวอปเงินตรา เกาหลีใต้จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับวิกฤตการเงินปี 1997” อี แจ-มยอง ย้ำ พร้อมระบุว่า สิ่งนี้อาจทำให้ค่าเงินท้องถิ่นร่วงหนัก เกิดเงินทุนไหลออก และความปั่นป่วนในระบบการเงิน
เขายังโต้แย้งคำแนะนำของ โฮเวิร์ด ลูทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ระบุว่าเกาหลีใต้ควรเอาแบบอย่างญี่ปุ่น โดยอี แจ-มยอง ชี้ว่า ญี่ปุ่นมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ค่าเงินเยนเป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ และญี่ปุ่นก็มีข้อตกลงสวอปเงินตรากับสหรัฐฯ อยู่แล้ว ขณะที่เกาหลีใต้ไม่อยู่ในสภาพเดียวกัน
【ที่มา: Tradingeconomics.com】
ความตึงเครียดในครั้งนี้ยังได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์อื่น ๆ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ บุกตรวจสอบโรงงานแบตเตอรี่ของ Hyundai ในรัฐจอร์เจีย จับกุมและส่งกลับแรงงานสัญชาติเกาหลีใต้กว่า 300 คน ทำให้ประชาชนเกาหลีใต้ไม่พอใจอย่างรุนแรง อี แจ-มยอง วิจารณ์ว่าสหรัฐฯ ปฏิบัติ “รุนแรงเกินไป” และกังวลว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะบั่นทอนความเชื่อมั่นของบริษัทเกาหลีใต้ที่เตรียมลงทุนในสหรัฐฯ
สัปดาห์นี้ อี แจ-มยอง จะเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยไม่มีแผนการพบปะกับ โดนัลด์ ทรัมป์ และการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่รวมวาระการเจรจาการค้าแต่อย่างใด
เนื้อหานี้แปลโดย AI ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาดจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและภาษา จึงไม่สามารถรับประกันความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของเนื้อหาได้ทั้งหมด ในการนำข้อมูลไปใช้ โปรดอ้างอิงจากต้นฉบับ และใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือความเข้าใจผิดใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้เนื้อหาดังกล่าว