TradingKey - ในข่าวล่าสุด สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ได้ประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับกรอบการค้าฉบับใหม่ ซึ่งรวมถึงมาตรการเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีนำเข้า ที่เน้นไปที่สินค้าประเภทยาและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งถือเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน
หลังจากผ่านกระบวนเจรจาที่ใช้เวลานานหลายสัปดาห์ ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงได้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาซึ่งกำหนดภาษีนำเข้าจาก EU ไว้ที่ 15% สำหรับสินค้าส่งออกทั้งหมด ในขณะเดียวกัน ยุโรปยังให้คำมั่นว่าจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ ในมูลค่าทั้งสิ้น 750,000 ล้านดอลลาร์ และลงทุนอีกอย่างน้อย 600,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคต
ตามแถลงการณ์ร่วม อเมริกาได้ระบุว่าจะเก็บภาษีแบบ Most Favored Nation (MFN) หรือภาษีตอบโต้ในอัตรา15% เพียงรายการเดียวกับสินค้าจาก EU เท่านั้น โดยสินค้าที่จะต้องเก็บภาษี ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ เครื่องบินชิ้นส่วน คิดค้นและสร้างเอกสารโดยเฉพาะ เช่น ยารักษาและสารเคมีตั้งต้น ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน
นอกจากนี้ EU ยังทำแผนที่จะลดภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของตนเอง รวมถึงเปิดโอกาสให้สินค้ากลุ่มอาหารทะเลและสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เข้าถึงตลาดอยู่มากขึ้น ภายในกรอบนี้ นอกจากนั้นยังระบุว่าการซื้อพลังงานที่ EU จะทำนั้นจะรวมไปถึงเงินลงทุนสำหรับเทคโนโลยีด้าน ปัญญาประดิษฐ์ และด้านพลังงาน แต่ยังไม่ถือว่าเป็นคำมั่นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ข้อตกลงนี้ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นข้อกฎหมาย Digital Services Act ของ EU รวมไปถึงข้อแตกต่างในเรื่องของเภสัชกรรมหรือกลุ่มไวน์ ซึ่งยังไม่ได้บทสรุปร่วมกันในการเจรจาครั้งนี้
โดยเฉพาะกลุ่มยา ชี้ว่าตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ภาษีนำเข้าจากยุโรปจะถูกจำกัดไม่เกิน 15% เพื่อช่วยลดราคายาในประเทศซึ่งโยงเหลือไปยังผลกระทบต่อความมั่นคงทางชาติ ส่วนกลุ่มยานยนต์ การตั้งค่าภาษียังมีเงื่อนไขให้ลดเพียงเมื่อยุโรปลดย่านถนน ถ้ายังไม่เกิดอะไรขึ้นจะต้องจัดให้รัฐบาลยุโรปเสนอเพื่อสร้างความสะดวกในอุตสาหกรรมของตนเอง
ทั้งนี้ ภาระดังกล่าวเป็นผลต่อข้อตกลงก่อนหน้า ๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยแนะนำว่าจะเพิ่มราคาขึ้นสูงสุดถึง30 % แต่ด้วยแรงผลักเชิงลบรอบใหม่ ทำให้ผู้ผลิตควรเพิ่มความร่วมมือเพื่อรักษายอดขายสินค้า。