TradingKey – ในขณะที่นักลงทุนกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าร่างกฎหมายภาษีและการใช้จ่ายของทรัมป์จะส่งผลต่อความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ อย่างไร ก็มีข้อกำหนดหนึ่งที่ถูกมองข้ามและปลุกให้เกิดสัญญาณเตือน: ภาษีฉบับใหม่ที่มุ่งหมายไปยังเงินทุนต่างประเทศอาจยิ่งเร่งให้เงินทุนไหลออกจากสหรัฐฯ เร็วขึ้น เสมือนสัญญาณว่าทรัมป์อาจกำลังเปลี่ยนสมรภูมิจากสงครามการค้ามาเป็นสงครามทางการเงิน
หลังจากที่ร่างกฎหมายฉบับที่เรียกกันว่า “Beautiful Big Bill” ของทรัมป์ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาได้เพียงเสียงโหวตเดียว ขณะนี้กำลังรอการพิจารณาจากวุฒิสภา
แม้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับแนวทางที่รัฐบาลจะใช้เป็นทุนสำหรับการลดภาษีขนาดใหญ่ แต่ในขณะนี้นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทได้หันมาจับตาข้อบัญญัติที่อาจสร้างความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่รุนแรงยิ่งกว่า มาตรา 899 หัวข้อ “Enforcement of Remedies Against Unfair Foreign Taxes”
ข้อกำหนดนี้ให้อำนาจรัฐบาลสหรัฐฯ ในการเก็บภาษีสูงขึ้นกับบุคคลและบริษัทจากประเทศที่ถูกกล่าวหาว่ามีนโยบายภาษีเลือกปฏิบัติ รวมถึงการปรับอัตราภาษีรายได้แบบพาสซีฟ (เช่น ดอกเบี้ยและเงินปันผล) ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองสินทรัพย์ในสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์
โดยสรุป หมายถึง:
นักวิเคราะห์เตือนว่ามาตรการนี้อาจยิ่งทำให้สินทรัพย์สหรัฐฯ สูญเสียความน่าสนใจ และเร่งกระแส “Sell America” ที่กำลังดำเนินอยู่ให้เร็วขึ้น
นักวิเคราะห์จาก PGIM อธิบายว่าเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่จะเขย่าตลาดอย่างรุนแรง และเสี่ยงที่จะกัดกร่อนความเชื่อมั่นที่เปราะบางอยู่แล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ
นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank กล่าวว่า ข้อกำหนดนี้เป็นก้าวทางกฎหมายสู่การเปลี่ยนตลาดเงินทุนสหรัฐฯ ให้กลายเป็นอาวุธ ด้วยการใช้สินทรัพย์สหรัฐฯ ที่นักลงทุนต่างชาติมีเป็นแรงกดดันเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจในวงกว้าง สหรัฐฯ จึงกำลังท้าทายความเปิดกว้างซึ่งทำให้ตลาดการเงินของอเมริกาเป็นมาตรฐานระดับโลก
ธนาคารระบุว่าสิ่งนี้เปิดทางให้รัฐบาลทรัมป์สามารถเปลี่ยนโฟกัสจากภาษีศุลกากรมาสู่กระแสเงินทุนได้อย่างเต็มตัว เปลี่ยนสงครามการค้าให้กลายเป็นสงครามทางเงินทุน
บางผู้สังเกตการณ์ในตลาดคาดการณ์ว่าทรัมป์เชื่อว่าการลงทุนจากต่างชาติในสหรัฐฯ มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากจนแม้นักลงทุนต่างชาติจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี ก็คงไม่ลดการถือครอง แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็โต้แย้งว่าการสมมติฐานนี้อาจมีจุดอันตรายอย่างยิ่ง
มอร์แกน สแตนลีย์ประเมินว่ามาตรา 899 อาจส่งผลกดดันทั้งดอลลาร์สหรัฐฯ และหุ้นยุโรปที่มีการเปิดรับความเสี่ยงในสหรัฐฯ ส่วนบรรดานักเศรษฐศาสตร์จาก AXA เตือนว่าหลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้ มาตรานี้อาจยิ่งผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้นอีก เพิ่มแรงกดดันจากความคาดหวังเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและการขาดดุลงบประมาณที่กว้างขึ้น
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างมองว่าตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นจุดอ่อนที่อาจถูกโจมตีในแผนงานของทรัมป์ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจะถอนตัวภายใต้แรงกดดันจากตลาดในที่สุด
แนวคิดนี้ถูกขนานนามว่า “TACO trade” ซึ่งมาจากคำว่า Trump Always Chickens Out หมายถึงรูปแบบที่ทรัมป์มักเปลี่ยนท่าทีเมื่อเผชิญแรงกดดันทางการตลาดหรือการเมือง เช่น การถอยกลับเรื่องการเก็บภาษีตอบโต้เมื่อเดือนเมษายน
อย่างไรก็ตาม หากมาตรา 899 กลายเป็นกฎหมายโดยไม่มีการปรับแก้ไขอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจพิสูจน์ได้ว่ายากที่จะถูกย้อนกลับเหมือนมาตรการการค้าในอดีต ซึ่งบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งขึ้นในนโยบายสหรัฐฯ ต่อเงินทุนต่างชาติ