Investing.com - ราคาน้ำมันร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือนในตลาดเอเชียวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ ที่กดดันตลาด
ตลาดน้ำมันยังคงเผชิญแรงกดดันในสัปดาห์นี้ หลังราคาดิ่งลงจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเลวร้ายลงระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก โดยเฉพาะแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นต่อจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 20%
ปัจจัยดังกล่าวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความกังวลเรื่องอุปทานที่เพิ่มขึ้น หลังจากองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) ประกาศว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตตั้งแต่เดือนเมษายน
ภาวะตึงเครียดด้านการค้าและอุปทานทำให้ตลาดแทบไม่ได้รับแรงหนุนจากความเป็นไปได้ที่สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนอาจทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากสหรัฐฯ ประกาศระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนเมื่อวันจันทร์
ณ เวลา 08:40 น.(GMT+7) น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคมลดลง 0.8% มาเป็น 71.07 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ลดลง 0.7% มาเป็น 67.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ภาษีของทรัมป์สร้างความปั่นป่วนให้ตลาด
เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 20% พร้อมยืนยันว่าอัตราภาษี 25% ต่อแคนาดาและเม็กซิโกก็กำลังจะมีผลบังคับใช้ โดยทั้งหมดจะเริ่มมีผลในวันนี้
ข่าวการขึ้นภาษีสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อตลาดการเงินและราคาน้ำมันก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน นักลงทุนกังวลว่าการหยุดชะงักของการค้าโลกอาจบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง
ภาษีศุลกากรของทรัมป์ต่อจีนถือเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากจีนถือเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก หากเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า อุปสงค์น้ำมันก็อาจลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ จีนก็คาดว่าจะตอบโต้ด้วยมาตรการทางการค้าของตัวเอง ซึ่งอาจทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศยิ่งรุนแรงขึ้น
OPEC+ เดินหน้าขยายกำลังการผลิตในเดือนเมษายน
OPEC+ ส่งสัญญาณเมื่อวันจันทร์ว่า จะเดินหน้าตามแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเมษายน ท่ามกลางแรงกดดันจากทรัมป์ให้เพิ่มอุปทานเพื่อลดราคาน้ำมัน
การเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ ส่งสัญญาณว่าตลาดน้ำมันจะไม่ตึงตัวมากนักในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวยังเกิดขึ้นในช่วงที่ความต้องการน้ำมันทั่วโลกชะลอตัว เนื่องจากหลายประเทศเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เงินเฟ้อที่ยังคงสูง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ ในช่วงแรกคาดว่าจะมีปริมาณไม่มากนัก อยู่ที่ประมาณ 138,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อยของการปรับลดกำลังการผลิต 5.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่กลุ่ม OPEC+ ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2022