Investing.com - ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในตลาดเอเชียวันนี้และฟื้นตัวจากการร่วงลงก่อนหน้า หลังจากข้อมูลภาคอุตสาหกรรมชี้ให้เห็นว่าสินค้าคงคลังน้ำมันของสหรัฐลดลงโดยไม่คาดคิด
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ แนวโน้มของมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐที่อาจเพิ่มขึ้น รวมถึงการขู่เรียกเก็บภาษีของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดน้ำมันดิบ
น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนเมษายนปรับตัวขึ้น 0.3% เป็น 73.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้น 0.4% เป็น 69.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 08:38 น. (GMT+7) โดยสัญญาทั้งสองปรับตัวลดลงราว 2 ดอลลาร์ในวันอังคาร หลังข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากทั้งสหรัฐและเยอรมนี
น้ำมันคงคลังสหรัฐลดลงเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก สถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) เปิดเผยเมื่อช่วงเย็นวันอังคารว่า สินค้าคงคลังน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 0.6 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ เพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล
ตัวเลขดังกล่าวมักเป็นสัญญาณล่วงหน้าของ ข้อมูลสินค้าคงคลังน้ำมันอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเปิดเผยในวันนี้ และการลดลงที่ไม่คาดคิดนี้ยังช่วยกระตุ้นความหวังว่าอุปทานน้ำมันของสหรัฐอาจตึงตัวขึ้นในระยะสั้น
แม้ว่าข้อมูล API จะช่วยหนุนราคาน้ำมันได้บ้าง แต่ตลาดน้ำมันกลับยังคงเผชิญกับแรงขายอย่างหนักในปี 2024 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่เพิ่มขึ้นและอุปสงค์ที่อ่อนแอลง
ภาษีของทรัมป์และความกังวลด้านเศรษฐกิจกดดันตลาดน้ำมัน
ราคาน้ำมันยังคงเผชิญกับแรงกดดันหลังจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากสหรัฐและเยอรมนี ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลง
ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในสหรัฐฯ ดูเหมือนจะแย่ลงในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ ข้อมูลจากเยอรมนีแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศหดตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป
นอกจากนี้ เทรดเดอร์ยังต้องจับตาภัยคุกคามจากมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ ซึ่งอาจสร้างความปั่นป่วนให้กับการค้าโลกและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง
จีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ ก็ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของมาตรการภาษีของทรัมป์ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจของจีนและลดความต้องการใช้น้ำมันดิบ
ทรัมป์ยังได้ส่งสัญญาณถึงการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ รวมถึงแผนเรียกเก็บภาษี ทองแดง และยืนยันว่า ภาษีศุลกากรต่อเม็กซิโกและแคนาดาจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์หน้า
ตลาดน้ำมันยังต้องจับตาข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อมูล GDP ไตรมาสที่ 4 ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี
นอกจากนี้ข้อมูล ดัชนีราคา PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐให้ความสำคัญก็กำลังจะประกาศในวันศุกร์นี้ รวมถึงข้อมูลเงินเฟ้อของเยอรมนี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มของตลาดน้ำมันในอนาคต