ในวันอังคาร ดอลลาร์สหรัฐกำลังปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการค้าโลกที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคายังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดในสัปดาห์ที่แล้วอย่างมาก
การเจรจากับสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นยังคงดำเนินต่อไป แต่คำกล่าวจากนักเจรจาของยูโรโซนแสดงให้เห็นว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ กำลังทำให้ข้อตกลงนี้ล่าช้า สหภาพยุโรปกำลังเตรียมมาตรการตอบโต้ รวมถึงมาตรการต่อต้านการบีบบังคับที่มีขอบเขตกว้างซึ่งมุ่งเป้าไปที่บริการของสหรัฐฯ การประมูลสาธารณะ และการลงทุน
เกี่ยวกับญี่ปุ่น หัวหน้าทีมเจรจา เรียวเซย์ อากาซาวะ ขณะนี้อยู่ในวอชิงตันเพื่อปลดล็อกการเจรจา แต่ข้อตกลงยังคงยากที่จะบรรลุ ทรัมป์เพิ่มแรงกดดันในวันจันทร์ เขาบ่นเกี่ยวกับยอดขายรถยนต์อเมริกันและข้าวที่ผลิตในสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น และรัฐมนตรีคลัง เบสเซนต์ ยืนยันว่าเขามุ่งเน้นไปที่คุณภาพของข้อตกลง มากกว่าที่จะเป็นเรื่องเวลา
ในบริบทนี้ ความระมัดระวังเป็นสิ่งที่เห็๋นเด่นชัด และคู่สกุลเงินหลัก ๆ เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคาก่อนหน้า ดัชนี DXY ซึ่งวัดมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนมากที่สุด กำลังเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ 97.50 หลังจากที่ดีดตัวขึ้นที่ 97.25 ในวันจันทร์ แต่ยังต่ำกว่าระดับสูงสุดในสัปดาห์ที่แล้วที่ 98.50 ประมาณ 1%.
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ