ดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรม (DJIA) ลบการขาดทุนก่อนหน้านี้และปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีการเพิ่มขึ้นมากกว่า 0.13% ผู้เข้าร่วมตลาดกำลังรอรายงานผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่สี่แห่งจากเจ็ดแห่ง ซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นสหรัฐส่วนใหญ่ลดลง รวมถึง DJIA ขณะเขียน DJIA ยังคงอยู่เหนือระดับ 40,000 แม้ว่าจะลดลงในวันนั้น
ความเชื่อมั่นยังคงซบเซา ตามที่แสดงให้เห็นจากการซื้อขายในวอลล์สตรีทที่มีการขาดทุน เทรดเดอร์กำลังเตรียมตัวสำหรับการเปิดเผยรายงานผลประกอบการรายสัปดาห์ของ Microsoft, Apple, Meta และ Amazon ในขณะเดียวกัน หุ้น Amazon ลดลง 2% Microsoft ลดลงมากกว่า 1% และ Meta กับ Apple ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยลดลง 0.5% และ 0.4% ตามลำดับ
รายงานผลประกอบการมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง แต่ความคาดหวังสำหรับไตรมาสที่สองลดลงท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent กล่าวว่า พวกเขากำลังมีความก้าวหน้าในข้อเสนอการค้า แต่เกี่ยวกับจีน เขากล่าวว่า "ผมเชื่อว่าขึ้นอยู่กับจีนที่จะลดความตึงเครียด เพราะพวกเขาขายให้เรามากกว่าที่เราขายให้พวกเขาห้าเท่า และดังนั้นภาษี 120% และ 145% จึงไม่ยั่งยืน"
ในด้านข้อมูล ดัชนีการผลิตของเฟดดัลลัสดิ่งลงจาก -16.3 สู่ -35.8 ในเดือนเมษายน เนื่องจากผู้บริหารธุรกิจมีมุมมองที่มองโลกในแง่ร้ายและตำหนิความวุ่นวายจากภาษี ตามรายงานของเฟดดัลลัส
นอกจากนี้ ราคาทองคำยังคงได้รับการสนับสนุนจากดอลลาร์สหรัฐ (USD) ที่อ่อนค่า โดยราคาทองคำเพิ่มขึ้นเกือบ 1% สู่ระดับ $3,350 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามการเคลื่อนไหวของตะกร้าสกุลเงินหกสกุลเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 0.62% และอยู่ที่ 98.87 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในช่วงสามวัน
แนวโน้มขาลงของดาวโจนส์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าดัชนีจะเคลียร์แนวต้านสำคัญที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 20 วันและเปลี่ยนเป็นแนวรับที่ 39,876 ผู้ซื้อดูเหมือนจะมีแรงผลักดันบางอย่างเมื่อดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) เข้าใกล้เส้นกลาง แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่า 50
หาก DJIA เคลียร์ 40,200 แนวต้านสำคัญถัดไปจะอยู่ที่ 40,500 ตามด้วยระดับ 41,000 แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 41,565 ซึ่งเป็นจุดที่เส้น SMA 50 วันตั้งอยู่ ตามด้วย SMA 200 วันที่ 42,273
ในทางกลับกัน หากดาวโจนส์ตกต่ำกว่า 40,000 จะเปิดทางให้ทดสอบระดับต่ำสุดของวันที่ 23 เมษายนที่ 39,486 ตามด้วยระดับสูงสุดของวันที่ 22 เมษายนที่ 39,271 เพื่อปิดช่องว่างที่เห็นระหว่างวันที่ 22 และ 23 เมษายน
ดาวโจนส์ (DJIA) คือมาตรวัดคาเฉลี่ยของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดาวโจนส์รวบรวมจากหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุด 30 อันดับในสหรัฐฯ และจะถ่วงน้ำหนักด้วยการเคลื่อนไหวของราคามากกว่าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด คำนวณโดยการรวมราคาของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแล้วหารด้วยตัวคูณซึ่งปัจจุบันคือ 0.152 ดัชนีนี้ก่อตั้งโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ผู้ก่อตั้ง วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ในช่วงหลายปีต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดาวโจนส์ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในวงกว้างเพียงพอ เนื่องจากอ้างอิงการเคลื่อนของกลุ่มบริษัทเพียง 30 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่มีจำนวนมากกว่าอย่างเช่น S&P 500
ปัจจัยที่แตกต่างกันมากมายผลักดันการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท, รายละเอียดที่เปิดเผยในรายงานผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสถือเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพหลัก ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังมีส่วนช่วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระดับของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีอิทธิพลต่อ DJIA เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนสินเชื่อ ซึ่งหลายๆ บริษัทต้องพึ่งพาอย่างมาก ดังนั้น อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทฤษฎีดาวเป็นวิธีการในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นที่พัฒนาโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ขั้นตอนสำคัญคือการเปรียบเทียบทิศทางของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และ ค่าเฉลี่ยการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) และติดตามเฉพาะแนวโน้มที่ทั้งคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ,uปริมาณเป็นเกณฑ์ยืนยัน ทฤษฎีนี้ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์จุดสูงสุดและต่ำสุด ทฤษฎีของดาวโจนส์ (Dow) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม เมื่อนักลงทุนเริ่มซื้อขายปลกเปลี่ยน ระยะการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อประชาชนในวงกว้างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน และระยะกระจายตัวเมื่อเงินเงินของนักลงทุนออกจากตลาดไป
มีหลายวิธีในการลงทุนกับ DJIA หนึ่งคือการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนซื้อขาย DJIA เป็นหลักทรัพย์เดียว แทนที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 30 แห่ง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กองทุน SPDR , ETF ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DIA) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ DJIA ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรมูลค่าในอนาคตของดัชนีแลออปชัน แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายดัชนีในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของหุ้น DJIA ซึ่งทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในดัชนี