- ราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ปรับตัวลดลงจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันล้นตลาดและการแข็งค่าของดอลลาร์
- การคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันในจีนจะลดลงยิ่งทำให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีหน้าต่ำลง
- นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ในตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์และความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดในปีหน้า สัญญา WTI ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 22 เซนต์ หรือ 0.32% ปิดที่ 69.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 31 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ 72.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
การแข็งค่าของดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.39% สู่ระดับ 108.037 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น ตัวบ่งชี้นี้อาจทำให้การลงทุนในน้ำมันดิบไม่น่าดึงดูดใจ
นักวิเคราะห์จาก Macquarie คาดการณ์ว่าภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 70.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าราคาเฉลี่ยปีนี้ที่ 79.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ รายงานของซิโนเปคชี้ว่า การนำเข้าน้ำมันดิบของจีนอาจถึงจุดสูงสุดในปี 2568 ในขณะที่การใช้น้ำมันในประเทศจะลดลง
ในภาวะที่ตลาดซื้อขายเบาบางก่อนวันหยุดคริสต์มาส นักลงทุนให้ความสนใจต่อทิศทางนโยบายพลังงานของโดนัลด์ ทรัมป์ หลังมีการขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป หากไม่เพิ่มการซื้อน้ำมันและก๊าซจากสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระดับนานาชาติกำลังหารือเรื่องการสั่งซื้อจากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการเก็บภาษีนำเข้า
โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าต่อประเทศที่มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในยุโรปที่เป็นตลาดสำคัญสำหรับการส่งออกก๊าซ LNG ของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงการพยายามป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าในอนาคต