
ในตลาดลงทุนเอเชียวันศุกร์ ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ยังคงรักษาขาขึ้นไว้ใกล้ระดับสูงในวันพฤหัสบดีที่ประมาณ $49.00 โลหะเงินเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงแม้ว่านักลงทุนจะลดการคาดการณ์สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้.
ตามข้อมูลจากเครื่องมือ CME FedWatch โอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิส (bps) ลงสู่ 3.50%-3.75% ในการประชุมเดือนธันวาคมได้ลดลงเหลือ 72.8% จาก 91.1% ที่เห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว.
ความคาดหวังเชิงว่าเฟดจะผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ลดลงหลังจากที่ประธานเจอโรม พาวเวลล์กล่าวในการประกาศนโยบายการเงินเมื่อวันพุธว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนั้น "ห่างไกลจากข้อสรุปที่แน่นอน."
การลดความคาดหวังฯ จากเฟดส่งผลกระทบเชิงลบต่อสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ย เช่น โลหะเงิน.
ในตลาดลงทุนวันศุกร์ นักลงทุนจะมุ่งเน้นไปที่การพูดคุยจากสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMC): ประธานแอตแลนต้า ราฟาเอล บอสติก และประธานคลีฟแลนด์ เบธ แฮมมาค ในช่วงเซสชันอเมริกาเหนือ นักลงทุนต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อโต้แย้งของพาวเวลล์ที่ต่อต้านการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับโลหะเงินอีกด้วย เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าจีนจะส่งออกแร่หายากไปยังวอชิงตันอย่างเปิดเผยและเสรี และพร้อมที่จะร่วมมือในประเด็นเฟตานิล รวมถึงเร่งการค้าทางการเกษตร.
ราคาโลหะเงินเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ รอบ ๆ $49.00 แนวโน้มระยะสั้นของโลหะมีค่ากลายเป็นไม่แน่นอนเมื่อมันพยายามที่จะกลับขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 20 วัน ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ $48.55.
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) 14 วันลดลงต่ำกว่า 60.00 ซึ่งบ่งชี้ว่าโมเมนตัมขาขึ้นได้สิ้นสุดลงในขณะนี้
หากมองลงไป ระดับสูงในวันที่ 23 กันยายนที่ $44.47 จะยังคงเป็นแนวรับที่สำคัญ ขณะที่ด้านบน ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ $54.50 อาจทำหน้าที่เป็นอุปสรรคสำคัญ
-1761880927806-1761880927808.png)
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน