ราคาโลหะเงินปรับตัวขึ้น 0.95% ในวันอังคาร ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐปิดเซสชันต่ำกว่าระดับ 101.00 ตามข้อมูลจากดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามผลการดำเนินงานของมูลค่าดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน 6 สกุล ขณะนี้เมื่อเขียน ขณะที่เซสชันเอเชียเริ่มต้น XAG/USD ซื้อขายอยู่ที่ $32.92 โดยมีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยใกล้ระดับ $33.00
แนวโน้มทางเทคนิคของโลหะเงินชี้ให้เห็นว่ามีการรวมกลุ่มเพิ่มเติมข้างหน้า โดยมีแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ $33.00 อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) แม้จะยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น แต่ก็เริ่มแบนราบเมื่อความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในหมู่ผู้ค้า
เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวในแนวโน้มขาขึ้น ผู้ซื้อจำเป็นต้องกลับมาที่ $33.00 และเคลียร์จุดสูงสุดล่าสุดที่ทำไว้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ $33.25 เมื่อทะลุขึ้นไปได้ $33.50 จะกลายเป็นแนวต้านถัดไป ตามด้วยระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ $33.68 การทะลุระดับหลังจะเปิดโอกาสให้ $34.00
ในทางกลับกัน หาก XAG/USD ร่วงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 50 วันที่ $32.75 การเคลื่อนไหวไปยัง SMA 100 วันที่ $31.89 เป็นไปได้สูง ในกรณีที่อ่อนแอลงต่อไป แนวรับถัดไปของตลาดกระทิงจะเป็น SMA 200 วันที่ $31.28
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน