
ฟิวเจอร์สดัชนี Dow Jones แสดงการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงเช้าของวันศุกร์ในยุโรป โดยมีการปรับตัวกลับจากการกลับตัวในวันพฤหัสบดี ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าของบริษัทในภาค AI และผลกระทบจากข้อความที่เข้มงวดจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ดูเหมือนจะลดลง แม้ว่าความเชื่อมั่นในตลาดจะยังคงไม่ดีในยุโรปและเอเชีย ทำให้ความต้องการหุ้นยังคงจำกัด
ดัชนีหลักของวอลล์สตรีทเตรียมเปิดด้วยการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ ดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 0.1% ณ เวลาที่เขียน โดยซื้อขายอยู่เหนือระดับ 47,700 ขณะที่ฟิวเจอร์ส S&P ปรับตัวขึ้น 0.7% แตะระดับเกิน 6,900 โดย Nasdaq แสดงผลการดำเนินงานที่ดีที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.20% สู่ระดับ 26,194
หุ้นสหรัฐฯ ลดลงในวันพฤหัสบดี เนื่องจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ ทำให้ตลาดสั่นคลอน โดยตั้งคำถามเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามที่คาดหวังในเดือนธันวาคม พาวเวลล์เน้นย้ำถึงมุมมองที่แตกต่างกันภายในคณะกรรมการท่ามกลางการคาดการณ์ที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการจ้างงานและเงินเฟ้อ และเตือนว่าการลดลงเพิ่มเติมนั้น "ห่างไกลจากการเป็นข้อสรุปที่แน่นอน"
หุ้นเทคโนโลยีเป็นผู้นำการขาดทุนในวันจันทร์ โดยหุ้น Meta และ Microsoft ลดลง 11.3% และ 2.9% ตามลำดับ หลังจากรายงานค่าใช้จ่ายด้านทุนที่สูงขึ้น ข่าวนี้ทำให้ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าที่สูงเกินไปของบริษัท AI กลับมาอีกครั้ง ซึ่งเมื่อรวมกับความหวังที่ลดน้อยลงเกี่ยวกับต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำลง ทำให้ความเชื่อมั่นในภาคเทคโนโลยีได้รับผลกระทบ
ดาวโจนส์ (DJIA) คือมาตรวัดคาเฉลี่ยของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดาวโจนส์รวบรวมจากหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุด 30 อันดับในสหรัฐฯ และจะถ่วงน้ำหนักด้วยการเคลื่อนไหวของราคามากกว่าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด คำนวณโดยการรวมราคาของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแล้วหารด้วยตัวคูณซึ่งปัจจุบันคือ 0.152 ดัชนีนี้ก่อตั้งโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ผู้ก่อตั้ง วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ในช่วงหลายปีต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดาวโจนส์ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในวงกว้างเพียงพอ เนื่องจากอ้างอิงการเคลื่อนของกลุ่มบริษัทเพียง 30 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่มีจำนวนมากกว่าอย่างเช่น S&P 500
ปัจจัยที่แตกต่างกันมากมายผลักดันการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท, รายละเอียดที่เปิดเผยในรายงานผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสถือเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพหลัก ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังมีส่วนช่วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระดับของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีอิทธิพลต่อ DJIA เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนสินเชื่อ ซึ่งหลายๆ บริษัทต้องพึ่งพาอย่างมาก ดังนั้น อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทฤษฎีดาวเป็นวิธีการในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นที่พัฒนาโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ขั้นตอนสำคัญคือการเปรียบเทียบทิศทางของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และ ค่าเฉลี่ยการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) และติดตามเฉพาะแนวโน้มที่ทั้งคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ,uปริมาณเป็นเกณฑ์ยืนยัน ทฤษฎีนี้ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์จุดสูงสุดและต่ำสุด ทฤษฎีของดาวโจนส์ (Dow) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม เมื่อนักลงทุนเริ่มซื้อขายปลกเปลี่ยน ระยะการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อประชาชนในวงกว้างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน และระยะกระจายตัวเมื่อเงินเงินของนักลงทุนออกจากตลาดไป
มีหลายวิธีในการลงทุนกับ DJIA หนึ่งคือการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนซื้อขาย DJIA เป็นหลักทรัพย์เดียว แทนที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 30 แห่ง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กองทุน SPDR , ETF ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DIA) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ DJIA ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรมูลค่าในอนาคตของดัชนีแลออปชัน แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายดัชนีในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของหุ้น DJIA ซึ่งทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในดัชนี