ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สกำลังผันผวนใกล้ระดับปิดของวันอังคาร ที่ประมาณ 46,300 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนยุโรปในวันพุธ ดัชนีหลักในยุโรปอยู่ในโซนลบหลังจากมีเซสชั่นที่ผันผวนในตลาดลงทุนเอเชีย ขณะเดียวกัน ความกล้าเสี่ยงของนักลงทุนลดลง ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่
คาดว่าดัชนีวอลล์สตรีทจะเปิดตลาดวันพุธด้วยการเคลื่อนไหวเงียบๆ ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สแทบไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ 46,310 ขณะที่ S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นน้อยกว่า 0.1% ทั้งคู่
ข้อมูลในวันอังคารไม่ได้สนับสนุนมากนัก เนื่องจากกิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐชะลอตัวลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกันในเดือนกันยายน ตามที่คาดการณ์ไว้ บริษัทต่างๆ ระบุว่าภาษีกำลังผลักดันต้นทุนให้สูงขึ้น ขณะที่การแข่งขันที่รุนแรงและความต้องการที่อ่อนแอลงจำกัดความสามารถในการปรับราคา
ในภายหลังวันอังคาร ประธานเฟด ย้ำถึงความท้าทายที่เฟดเผชิญในการนำทางตลาดแรงงานที่อ่อนแอ และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยเตือนว่าไม่สามารถรับประกันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิดของตลาดที่คาดว่าเฟดจะปรับลดในการประชุมที่เหลืออีกสองครั้งในปีนี้
ในวันที่ไม่มีการประกาศข้อมูลมหภาคสำคัญในวันพุธ ที่ไม่ดีมีแนวโน้มที่จะทำให้ความต้องการลดลง เนื่องจากนักลงทุนรอการประกาศตัวเลข GDP ของสหรัฐและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในวันพฤหัสบดี และการเปิดเผยดัชนีราคา PCE ในวันศุกร์
ดาวโจนส์ (DJIA) คือมาตรวัดคาเฉลี่ยของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดาวโจนส์รวบรวมจากหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุด 30 อันดับในสหรัฐฯ และจะถ่วงน้ำหนักด้วยการเคลื่อนไหวของราคามากกว่าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด คำนวณโดยการรวมราคาของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแล้วหารด้วยตัวคูณซึ่งปัจจุบันคือ 0.152 ดัชนีนี้ก่อตั้งโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ผู้ก่อตั้ง วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ในช่วงหลายปีต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดาวโจนส์ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในวงกว้างเพียงพอ เนื่องจากอ้างอิงการเคลื่อนของกลุ่มบริษัทเพียง 30 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่มีจำนวนมากกว่าอย่างเช่น S&P 500
ปัจจัยที่แตกต่างกันมากมายผลักดันการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท, รายละเอียดที่เปิดเผยในรายงานผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสถือเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพหลัก ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังมีส่วนช่วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระดับของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีอิทธิพลต่อ DJIA เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนสินเชื่อ ซึ่งหลายๆ บริษัทต้องพึ่งพาอย่างมาก ดังนั้น อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทฤษฎีดาวเป็นวิธีการในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นที่พัฒนาโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ขั้นตอนสำคัญคือการเปรียบเทียบทิศทางของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และ ค่าเฉลี่ยการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) และติดตามเฉพาะแนวโน้มที่ทั้งคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ,uปริมาณเป็นเกณฑ์ยืนยัน ทฤษฎีนี้ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์จุดสูงสุดและต่ำสุด ทฤษฎีของดาวโจนส์ (Dow) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม เมื่อนักลงทุนเริ่มซื้อขายปลกเปลี่ยน ระยะการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อประชาชนในวงกว้างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน และระยะกระจายตัวเมื่อเงินเงินของนักลงทุนออกจากตลาดไป
มีหลายวิธีในการลงทุนกับ DJIA หนึ่งคือการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนซื้อขาย DJIA เป็นหลักทรัพย์เดียว แทนที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 30 แห่ง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กองทุน SPDR , ETF ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DIA) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ DJIA ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรมูลค่าในอนาคตของดัชนีแลออปชัน แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายดัชนีในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของหุ้น DJIA ซึ่งทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในดัชนี