น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันดิบของสหรัฐฯ กำลังซื้อขายอยู่ที่ประมาณ $64.10 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันพฤหัสบดี WTI ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากการลดลงติดต่อกันเป็นเวลาห้าวัน เนื่องจากการลดลงของน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ที่มากกว่าที่คาดไว้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และความกังวลที่ยังคงมีอยู่เกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เทรดเดอร์น้ำมันจะติดตามแนวโน้มการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียอย่างใกล้ชิด
การลดลงของสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่แล้วบ่งชี้ว่าความต้องการยังคงแข็งแกร่งและให้การสนับสนุนราคา WTI รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสำนักงานข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) แสดงให้เห็นว่าสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 สิงหาคม ลดลง 3.029 ล้านบาร์เรล เมื่อเปรียบเทียบกับการเพิ่มขึ้น 7.698 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้า ความเห็นของตลาดคาดการณ์ว่าสต็อกจะลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียเป็นสองเท่า เนื่องจากการซื้อพลังงานจากรัสเซียของประเทศนี้ ภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ 21 วันหลังจากวันที่ 7 สิงหาคม ทรัมป์ยังกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากจีน ซึ่งคล้ายกับอัตราภาษี 25% ที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้สำหรับอินเดีย
“ภาษีนำเข้ามีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเชื้อเพลิงในที่สุด” พริยังกา ซัคเดวา นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของฟิลลิป โนวา กล่าว พร้อมเสริมว่าตลาดมองข้ามความจริงที่ว่าผลกระทบจะมีมากกว่าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินเฟ้อ
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันพุธว่าทรัมป์อาจพบกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในสัปดาห์หน้า ทรัมป์กล่าวว่ามี “โอกาสที่ดีมาก” ที่เขาจะพบกับปูตินและประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี การเจรจาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักเชิงอุปทาน ซึ่งอาจจำกัดขาขึ้นของ WTI
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย