TradingKey – ความตึงเครียดที่ทวีขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลให้น้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน ยิ่งซ้ำเติมความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมัน รายงานล่าสุดจาก Morgan Stanley ระบุสามสถานการณ์หลักที่จะกำหนดทิศทางราคาน้ำมัน ขณะที่ Goldman Sachs และ JPMorgan เตือนว่าราคาอาจทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้
ตามโพสต์ของประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน สหรัฐฯ ได้โจมตีครบทั้งสามศูนย์นิวเคลียร์ของอิหร่าน BBC รายงานว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชุดก่อนหน้านี้มักเลือกใช้น้ำหนักทางการทูตมากกว่าการโจมตีทางทหาร การเคลื่อนไหวของทรัมป์จึงถือเป็นประวัติการณ์และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในรายงานล่าสุด Morgan Stanley ได้นำเสนอสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นสามกรณี อิงตามการพัฒนาของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุปทานน้ำมันทั่วโลก
ราคาน้ำมันเคยปรับขึ้นไปอยู่ที่ราว 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2022 เนื่องจากความขัดแย้งในยูเครน ก่อนจะปรับตัวลดลงเมื่อ OPEC+ ลดกำลังผลิตและสหรัฐฯ ปล่อยสำรองเชิงกลยุทธ์ออกสู่ตลาด
ขณะที่เขียนรายงานนี้ น้ำมันดิบ WTI ซื้อขายอยู่ที่ 74.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และน้ำมันเบรนต์อยู่ที่ 76.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
Goldman Sachs ประเมินว่า หากอุปทานน้ำมันอิหร่านเพียงอย่างเดียวได้รับผลกระทบ ราคาน้ำมันเบรนต์อาจแตะเล็กน้อยเหนือ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยทิศทางขึ้นอยู่กับว่าการส่งออกอิหร่านจะกลับสู่สภาวะปกติเมื่อใด และประเทศผู้ผลิตใน OPEC+ จะเพิ่มกำลังผลิตมากน้อยเพียงใด
แต่หากการหยุดชะงักลุกลามไปยังการผลิตหรือขนส่งวงกว้าง ราคาน้ำมันอาจข้าม 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ยังเสริมว่า ในสถานการณ์รุนแรง ราคานำ้มันพุ่งแตะ 120-130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เหมือนเมื่อรัสเซียบุกยูเครน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไม่เกินจริง