

TradingKey - ไม่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Microsoft กำลังเร่งขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ยุคใหม่ที่หลายคนเรียกว่า “NeoCloud” หรือ “คลาวด์ยุคใหม่” มูลค่าการลงทุนรวมที่ผูกกับพันธมิตร Data Center ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ทะลุ 60,000 ล้านดอลลาร์แล้ว
หนึ่งในดีลที่ใหญ่ที่สุด คือการลงทุน 23,000 ล้านดอลลาร์กับ Nscale สตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักรที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวต์ที่ออกแบบมาสำหรับ AI โดยเฉพาะ ภายใต้ข้อตกลงนี้ Microsoft จะได้รับสิทธิ์เข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ NVIDIA GB300 ประมาณ 200,000 หน่วย ครอบคลุมศูนย์ข้อมูลในสหราชอาณาจักร นอร์เวย์ โปรตุเกส และเท็กซัส
ก่อนหน้านี้ Microsoft ยังได้ประกาศพันธมิตร NeoCloud เพิ่มอีกสองราย รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ได้แก่ Lambda Labs ผู้ให้บริการ GPU Cloud จากสหรัฐฯ และ Iren บริษัทเหมืองแร่ในออสเตรเลียที่ผันตัวสู่ธุรกิจศูนย์ข้อมูล
ในแวดวง NeoCloud มีชื่ออย่าง Nebius และ CoreWeave ที่กลายเป็นผู้เล่นหน้าใหม่มาแรง ซึ่งต่างระดมทุนเพิ่มต่อเนื่อง ได้ดีลใหญ่ระดับ Hyperscale
เมื่อเดือนกันยายน Microsoft เพิ่งเซ็นสัญญามูลค่า 19,400 ล้านดอลลาร์กับ Nebius เพื่อซื้อขีดความสามารถในการประมวลผล จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ CoreWeave ก็เปิดเผยคำสั่งซื้อมูลค่าอย่างน้อย 6,300 ล้านดอลลาร์จาก NVIDIA ภายใต้ข้อตกลงที่ NVIDIA จะรับซื้อ GPU ที่เหลือจาก CoreWeave ไปจนถึงเดือนเมษายน 2032
และในปลายเดือนกันยายน CoreWeave ยังเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อได้เซ็นสัญญาจัดหาขีดความสามารถคอมพิวต์ให้กับ Meta มูลค่ากว่า 14,200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้บริษัทกลายเป็นหัวใจหลักของธีมการลงทุน NeoCloud ที่เริ่มเข้ามาอยู่ในกระแสของตลาดทุนอย่างจริงจัง

ทั้งที่ Microsoft มีระบบคลาวด์ระดับโลกอย่าง Azure อยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องร่วมลงทุนกับผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายอื่น? คำตอบคือ “AI workload” และ “ช่องว่างของขีดความสามารถในการประมวลผล
ต่างจากผู้ให้บริการคลาวด์แบบดั้งเดิม เช่น AWS, Google Cloud หรือ Azure — ผู้ให้บริการ NeoCloud มอบการเข้าถึง GPU แบบ bare-metal ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้สามารถควบคุมฮาร์ดแวร์โดยตรงได้เต็มที่ โดยไม่มีชั้นการจำลองหรือระบบจัดการเสริมใดๆ ทำให้สามารถใช้ทรัพยากรได้สูงสุด ติดตั้งซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ และฝึกโมเดลขนาดใหญ่ด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
NeoCloud มุ่งเน้นเฉพาะการให้บริการ GPU ที่ทรงพลังและหายากที่สุด โดยไม่มีบริการส่วนกลางหรือ API ที่เป็นตัวกลาง ทำให้ต้นทุนต่อประสิทธิภาพดีกว่าในงานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง และลดความผูกพันกับแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการ
สำหรับห้องวิจัย AI ชั้นนำหรือทีมพัฒนาโมเดลระดับ “frontier” นี่คือข้อเสนอที่ตอบโจทย์ — พันหรือแสนหน่วย GPU ที่เชื่อมต่อแบบแนวตั้ง ปรับจูนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการฝึกโมเดลแบบขนาน ขณะที่คลาวด์แบบเดิมเน้นความยืดหยุ่นมากกว่าความเข้มข้นของการประมวลผล
ปี 2025 อาจเป็นปีที่ “ตลาดเริ่มตั้งคำถาม” โดย CoreWeave คือกรณีศึกษาที่สะท้อนทั้งศักยภาพและความเปราะบางของอุตสาหกรรมนี้
หลังได้รับคำสั่งซื้อจาก Microsoft บริษัทสามารถระดมเงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์จาก Blackstone และสถาบันการเงินอื่นๆ เพื่อขยายจำนวน GPU และสำรองสินค้าจาก NVIDIA แต่โมเดลการเติบโตที่พึ่งพาหนี้สินนี้เริ่มสร้างความกังวล
แม้รายได้จะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่กำไรยังแทบไม่เกิดขึ้นเลย ขณะที่หนี้ระยะยาวของ CoreWeave พุ่งทะลุ 17,000 ล้านดอลลาร์ และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเริ่มกลืนส่วนต่างกำไร
ยุทธศาสตร์ของ Microsoft กับผู้ให้บริการ NeoCloud เหล่านี้จึงมีรูปแบบที่ชัด — ร่วมพัฒนาโครงสร้างศูนย์ข้อมูล สั่งซื้อ GPU จำนวนมาก และขยายกำลังประมวลผลตามลำดับ แต่เบื้องหลังคือโครงสร้างทุนที่พึ่งพาตลาดตราสารหนี้อย่างหนัก และทั้งหมดตั้งอยู่บนสมมติฐานเดียวคือ “ความต้องการประมวลผล AI จะเติบโตต่อเนื่อง” หากการเติบโตชะลอตัวลง ห่วงโซ่การเงินนี้อาจถูกบีบหรือแตกร้าวได้
ณ ตอนนี้ ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ เช่น AWS, Google Cloud และ Azure เอง ยังไม่ได้ตอบโต้ในรูปแบบที่ชัดเจน แต่เมื่อ NeoCloud เริ่มกินส่วนแบ่งในงาน AI มูลค่าสูงมากขึ้น คำถามใหญ่คือ — พวกเขาจะกลับมา “ยึดพื้นที่คืน” เมื่อใด และในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อหุ้น การลงทุนเชิงกลยุทธ์ หรือการสร้างระบบ bare-metal ภายในของตัวเอง
สุดท้ายแล้ว โมเดล NeoCloud สะท้อนให้เห็นสองด้านของวัฏจักรเทคโนโลยีในยุคนี้ — มันคือก้าวกระโดดด้านประสิทธิภาพการประมวลผล และในขณะเดียวกัน ก็เป็นโครงสร้างที่ฝังความเสี่ยงทางการเงินไว้ในตัวเองอย่างลึกซึ้ง.